ห้องโถงยังคงเป็นห้องโถงเดิมห้องนั้น และเพราะพระอาทิตย์เคลื่อนตัวขึ้นมาแล้ว ลำแสงที่ส่องเข้ามานั้นทำให้ห้องดูสว่างสดใสมากยิ่งขึ้น
แต่สีหน้าของทุกคนที่อยู่ในห้องกลับดูหนักอึ้ง
โจวชูจิ่นนั่งอยู่บนเก้าอี้มีเท้าแขนกลางห้อง ยกถ้วยชาขึ้น ใช้ฝาถ้วยค่อยๆ เขี่ยใบชาที่ลอยอยู่บนผิวน้ำชา กล่าวเสียงเข้มว่า “พูดมา! ว่าเรื่องเป็นมาอย่างไร”
ทั้งป้ารับใช้ร่างบึกบึน และคนจากสำนักนายหน้าต่างก็ล่าถอยออกไปหมดแล้ว เพื่อป้องกันไม่ให้หลานทิงทำเรื่องเขย่าขวัญอะไรขึ้นมาอีก นางจึงยังคงถูกมัดเอาไว้ด้วยเชือกเช่นเดิม หมอบอยู่ตรงหน้าโจวชูจิ่น โจวเสาจิ่นยืนอยู่ด้านหลังของพี่สาว ส่วนภรรยาของหม่าฟู่ซานเฝ้าอยู่ด้านนอกของประตู
นัยน์ตาของหลานทิงพราวระยับไปด้วยแววเจ้าเล่ห์ กล่าวขึ้นว่า “ถ้าคุณหนูใหญ่ส่งข้ากลับเมืองเป่าติ้ง ข้าจะเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ท่านฟัง!”
โจวชูจิ่นยิ้มเย็น ลุกขึ้นมา ตะโกนเสียงดังเรียกให้ภรรยาของหม่าฟู่ซานเข้ามา สั่งการไปว่า “เจ้าไปขอยาทำให้เป็นใบ้จากแม่ชีสำนักเต๋าเหล่านั้นมากรอกปากนางสักเม็ดหนึ่ง ในเมื่อนางไม่อยากพูด เช่นนั้นก็ให้นางไม่ต้องพูดอีกตลอดไป” กล่าวเสร็จ ก็เดินออกไปโดยที่ไม่หันกลับมามอง
โจวเสาจิ่นรีบตามออกไปด้วยอย่างรีบร้อน
หลานทิงกล่าวขึ้นว่า “เจ้าไม่อยากรู้หรือว่าในปีนั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง”
โจวชูจิ่นแสยะยิ้มอย่างดูแคลน “เจ้ามีหลักฐานอะไรเล่า คิดว่าข้าเป็นเด็กสามขวบหรืออย่างไร ต่อให้เจ้าพูดมามากมายข้าก็ยังต้องให้คนไปพิสูจน์ดูก่อน เจ้ายังฝันจะต่อรองกับข้าอีกอย่างนั้นหรือ ตอนที่ท่านแม่เสียชีวิต อย่างมากเจ้าก็มีอายุเพียงสิบสองสิบสามปีเท่านั้น ด้วยอายุของเจ้าแล้ว ยังไม่ได้รับเงินเดือนของสาวใช้ขั้นหนึ่งเลยด้วยซ้ำ ต่อให้เฉิงไป่จะทำร้ายท่านแม่จริง เกรงว่าเจ้าก็เพียงคาดเดาจากเบาะแสเล็กๆ น้อยๆ หลังจากที่เกิดเรื่องขึ้นแล้วก็เท่านั้น รอให้ข้าจับเจ้ากรอกยาทำให้เป็นใบ้ หักมือหักเท้า และขายให้กับหอนางโลมที่แย่ที่สุดแล้ว ข้าค่อยไปสืบเรื่องที่เกิดขึ้นในปีนั้นกับสาวใช้ใหญ่ที่รับใช้ท่านแม่ ไม่ต้องกลัวเลยว่าจะสืบหาอะไรไม่ได้สักอย่าง! หากว่าสิ่งที่เจ้าพูดมาเป็นความจริง ข้าจะให้เจ้ามีชีวิตอยู่ที่หอนางโลมจนวาระสุดท้าย แต่หากเจ้าพูดโกหก เจ้าวางใจได้เลย เพียงแค่จ่ายเงินเพิ่มอีกสักหน่อยแล้วส่งเจ้าไปเป็นนางโลมหลวงของกองทัพทั้งเก้าที่ชายแดน” นางกล่าวถึงตรงนี้ ก็สั่งการภรรยาของหม่าฟู่ซานว่า “จริงสิ ตอนที่เจ้าขายนาง ให้แจ้งกับแม่เล้าเหล่านั้นให้ชัดเจนด้วยว่าไม่ต้องให้นางดื่มน้ำแกงห้ามครรภ์ ข้าไม่เพียงต้องการให้นางเป็นนางโลมเท่านั้น ยังต้องการให้บุตรชายหญิงของนางเป็นนายนางบำเรอทุกชั่วโคตรด้วย…”
โจวเสาจิ่นได้ยินแล้วก็ได้แต่ตัวสั่นเทา
หลานทิงถึงกับเปลี่ยนสีหน้า
“ไม่!” นางกรีดร้อง “เจ้าจะทำอย่างนี้กับข้าไม่ได้ ข้าเป็นคนของพ่อเจ้า…”
โจวชูจิ่นถ่มน้ำลายดูถูกหลานทิงครั้งหนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “เจ้านับว่าเป็นตัวอะไรหรือ ถึงกล้ามาบอกว่าเป็นคนของท่านพ่อของข้า ท่านแม่ของข้าเคยดื่มน้ำชา[1]ที่เจ้าโขกศีรษะยกให้นางอย่างนั้นหรือ หรือว่าท่านพ่อของข้าเคยไปยืนยันชื่อของเจ้ากับทางการแล้วอย่างนั้นหรือ ก็แค่ของเล่นเอาไว้อุ่นเตียงให้ท่านพ่อของข้าชิ้นหนึ่งเท่านั้น ก็ถือว่าเป็นคนของท่านพ่อของข้าได้แล้วอย่างนั้นหรือ เจ้าอย่าลืมว่า หนังสือซื้อขายชีวิตของเจ้าอยู่กับตระกูลโจวของข้า! หากข้าเมตตาส่งเสริมเจ้า เจ้าก็ได้เป็นคนผู้หนึ่ง แต่หากข้าต้องการทำลายเจ้า เจ้าก็เป็นได้เพียงโคลนตมเท่านั้น! ภรรยาของหม่าฟู่ซาน เจ้ายังจะยืนอยู่ตรงนั้นเพื่ออะไรอีก แม้แต่เจ้าข้าก็สั่งการอะไรไม่ได้แล้วอย่างนั้นหรือ”
ภรรยาของหม่าฟู่ซานสีหน้าซีดเผือด ตัวสั่นเทา ขานรับไม่หยุดว่า “เจ้าค่ะ” แม้แต่น้ำเสียงก็เปลี่ยนไปไม่น้อย
“ไม่นะเจ้าคะๆๆ” หลานทิงพยายามจะคลานเข้าไปหาโจวชูจิ่น แต่เพราะถูกมัดมือไขว้หลังเอาไว้ ทำให้ไม่เพียงคลานเข้าไปหาไม่ได้ ในทางตรงกันข้ามยังทำให้ตัวเองล้มคะมำอยู่บนพื้นอีกด้วย “คุณหนูใหญ่ ท่านจะทำเช่นนี้ไม่ได้นะเจ้าคะๆ”
โจวชูจิ่นยิ้ม เหลือบมองอย่างเยียบเย็นไปที่หลานทิงครั้งหนึ่ง ยืดลำตัวตรงและเชิดหน้าขึ้นเดินไปด้านหน้า
โจวเสาจิ่นรีบก้าวออกไปประคองไหล่ของโจวชูจิ่นเอาไว้
ตอนนี้เองที่นางได้รู้ว่าร่างของโจวชูจิ่นสั่นเทาเล็กน้อย
พี่สาวเองก็คงกลัวว่าจะควบคุมหลานทิงเอาไว้ไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ถึงได้กล่าวคำพูดดังกล่าวออกไป
โจวเสาจิ่นราวกับต้องการให้กำลังใจก็ไม่ปาน นางจับมือของโจวชูจิ่นเอาไว้แน่น
มือของน้องสาว บอบบางและนุ่มนิ่ม ทว่าอบอุ่นและมีพลัง
โจวชูจิ่นพลันเข้าใจเจตนาของโจวเสาจิ่น
นางเอียงศีรษะมองโจวเสาจิ่นครั้งหนึ่ง นัยน์ตาเปี่ยมด้วยความอบอุ่น
โจวเสาจิ่นจึงหันไปเม้มริมฝีปากกลั้นยิ้มให้พี่สาว
มีน้ำเสียงทั้งร้อนรนและเป็นกังวลของหลานทิงดังมาจากด้านหลังของพวกนาง “คุณหนูใหญ่ ข้าพูดแล้วเจ้าค่ะๆ ขอเพียงท่านไม่ขายข้าไปยังสถานที่สกปรกเช่นนั้น ไม่ว่าอะไรข้าก็จะยอมเล่าให้ท่านฟังทุกอย่างเจ้าค่ะ”
โจวชูจิ่นหันกลับมา กล่าวอย่างเย็นชาว่า “เจ้าคิดว่าเจ้าต่อรองกับข้าได้อย่างนั้นหรือ”
“ไม่ได้เจ้าค่ะๆ” หลานทิงมองใบหน้าไร้สีดั่งน้ำค้างแข็งและหิมะของโจวชูจิ่นแล้ว รู้สึกเหน็บหนาวไปทั่วทั้งหัวใจ ตระหนักได้ว่าตนพบกับคนที่ยากจะต่อกรด้วยเสียแล้ว หากไม่ระมัดระวัง ก็อาจจะตกเข้าไปอยู่ในสถานที่ของนางโลมโดยไม่อาจกลับตัวได้อีก นางจึงรีบกล่าวขึ้นว่า “คุณหนูใหญ่ เป็นข้าเองที่กล่าวผิดไป ข้าจะเล่าให้ท่านฟังทุกอย่าง ไม่ว่าอะไรก็จะเล่าให้ท่านฟังทั้งหมดเจ้าค่ะ”
โจวชูจิ่นยกมุมปากขึ้นอย่างจะยิ้มก็ไม่ยิ้ม กล่าวขึ้นว่า “ลองพูดมา ว่าในปีนั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง”
หลานทิงเรียกขวัญให้ตัวเอง กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงแฝงความประจบประแจงอยู่หลายส่วน “เป็นอย่างที่คุณหนูใหญ่ได้กล่าวมา ตอนนั้นข้ามีอายุเพียงสิบสามปี เป็นสาวใช้ขั้นสองอยู่ในเรือนของฮูหยิน คนที่รับใช้ฮูหยินมาตั้งแต่เริ่มแรกคือซินหลาน สาวใช้ที่ติดตามฮูหยินมาจากบ้านเดิม” ขณะที่นางกล่าว น้ำเสียงก็หยุดลงครู่หนึ่ง จากนั้นกล่าวต่อว่า “คุณหนูใหญ่รู้จักนายท่านใหญ่เฉิงไป่ที่ตรอกฉุนอี้หรือไม่”
“รู้จัก!” โจวชูจิ่นกล่าวเสียงเรียบ กลับไปนั่งลงบนเก้าอี้มีเท้าแขนอีกครั้งหนึ่ง
ภรรยาของหม่าฟู่ซานรีบวิ่งเข้ามาเติมน้ำชาให้โจวชูจิ่น แล้วก็ปิดประตูและเดินออกไป
หลานทิงได้ยินโจวชูจิ่นกล่าวว่ารู้จักเฉิงไป่ที่ตรอกฉุนอี้แล้วก็ประหลาดใจยิ่งนัก กล่าวขึ้นว่า “เขาไม่เพียงเป็นสายรองของตระกูลเฉิง หลายปีก่อน ยังมีความสัมพันธ์บางอย่างกับฮูหยิน…”
โจวชูจิ่นกล่าวขัดคำพูดของนางอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “ก็เพียงแค่เคยหมั้นหมายกับท่านแม่เท่านั้นไม่ใช่หรือ เรื่องนี้ทุกคนต่างก็รู้กันอยู่แล้ว”
เรื่องนี้กลับกลายเป็นเรื่องที่ทุกคนต่างก็รู้กันอยู่แล้วตั้งแต่เมื่อไรกัน?
หลานทิงตกตะลึง
ในตอนนั้นโจวเจิ้นต้องลงแรงไปมากกว่าจะปิดเรื่องนี้เอาไว้ได้
นางชายตามองพี่น้องตระกูลโจวทั้งสอง



VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน