เข้าสู่ระบบผ่าน

ยามดอกวสันต์ผลิบาน นิยาย บท 143

วิกฤตทางด้านการเงินทำให้โจวเสาจิ่นกลุ้มใจเป็นอย่างมาก

ในชาติก่อน นางใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่แต่ในเรือน ใช้เงินน้อยยิ่งนัก จึงไม่เคยต้องกังวลถึงเรื่องนี้เลย มีเพียงครั้งเดียวเท่านั้นที่ขาดเงินในมือคือตอนที่หนีออกจากตระกูลเฉิง แล้วเผชิญพายุหิมะห่าใหญ่ที่ทงโจว ติดอยู่ที่นั่นนานหลายวัน จนไม่เหลือเงินสักแดงเดียว ทว่าฝานหลิวซื่อกลับรีบนำกำไลอันเป็นสมบัติตกทอดของตระกูลฝานไปจำนำ พานางไปหาพี่สาวจนเจอ ต่อมาหลังจากแต่งงานกับหลินซื่อเซิ่ง นางมีสินเดิมของตนเอง อีกทั้งมีหม่าชื่อช่วยดูแลจัดการทรัพย์สินให้ รายจ่ายของนางส่วนใหญ่จึงเสียไปกับการบริจาคธูป น้ำมันและเงินทองให้วัด นางอยากจะซื้ออะไรก็ซื้อได้ ไม่เคยขาดแคลนเงินเลยแม้แต่น้อย

แต่ไม่คาดคิดว่าเมื่อกลับชาติมาเกิดใหม่ นางจะมีเงินไม่พอใช้!

โจวเสาจิ่นนั่งอยู่ในห้องพระของเรือนหานปี้ซาน ทว่ายิ่งขบคิดก็ยิ่งรู้สึกว้าวุ่น จนเขียนอักษรผิดไปสองตัวติดต่อกัน

นางจึงวางพู่กันลงเสีย และตัดสินใจจะทำจิตใจให้สงบลงก่อน ทว่ากลับได้ยินเสี่ยวถานที่นั่งถักพู่ลั่วจื่ออยู่ที่ประตูกล่าวกับซือเซียงว่า “…ถึงกับต้องพลิกหาจนทั่วเรือนหลิวทิง ถึงจะหากระถางเซี่ยนหยางที่คุณชายใหญ่สือกล่าวถึงใบนั้นจนเจอเจ้าค่ะ”

เรือนหลิวทิง คือเรือนของเฉิงสือจวนรอง

โจวเสาจิ่นเงี่ยหูฟังอย่างอดไม่ได้

ซือเซียงถามขึ้นว่า “กระถางเซี่ยนหยาง คุณชายใหญ่สือต้องการปลูกดอกดารารัตน์อย่างนั้นหรือ กระถางนี้ก็ไม่ได้หายากอะไรมิใช่หรือ ในเรือนของพวกข้าก็มีสองสามใบ ทุกปีพอถึงช่วงเวลานี้ก็จะนำออกมาให้คุณหนูใหญ่กับคุณหนูรองจัดดอกดารารัตน์” นางกล่าวพลางอุทาน “ไอ้โหยว” ขึ้นมาเสียงหนึ่ง และกล่าวว่า “ถ้าเจ้าไม่พูดข้าก็คงจะลืมไปเสียแล้ว สองวันมานี้งานยุ่งวุ่นวายมาก จนลืมบอกให้ป้ารับใช้ที่เรือนเพาะชำช่วยเลือกดอกดารารัตน์สวยๆ มาให้คุณหนูใหญ่กับคุณหนูรองของพวกข้าสักสองสามต้น ปีที่แล้วพวกเราบอกช้าไปหน่อย ดอกดารารัตน์ต้นที่งดงามต่างก็ถูกผู้อื่นเลือกไปจนหมด”

เสี่ยวถานกล่าวขึ้นว่า “ปีที่แล้วดอกดารารัตน์ในเรือนของพวกข้าก็เบ่งบานได้งดงามยิ่ง แม้แต่ฮูหยินใหญ่ของตระกูลกู้ก็ยังกล่าวชมยามที่มาคารวะในช่วงปีใหม่เจ้าค่ะ”

ซือเซียงยิ้มพลางกล่าวว่า “มีตอนไหนบ้างหรือที่ต้นไม้ดอกไม้ในเรือนของพวกเจ้าจะไม่งดงาม”

“จริงด้วย” เสี่ยวถานกล่าวยิ้มๆ “อย่างไรก็ตามพี่สาวเจินจูของพวกข้าเพาะเลี้ยงดอกไม้ได้ดียิ่ง ดอกดารารัตน์ของพวกข้าล้วนเป็นพี่สาวเจินจูที่ตัดแต่งด้วยตัวเอง พี่สาวเจินจูบอกว่า กระถางเซี่ยนหยางที่คุณชายใหญ่สือกล่าวถึงใบนั้นเป็นทรงสี่เหลี่ยมคางหมู แปดถึงเก้าในสิบส่วนคุณชายใหญ่สือจะต้องเอาไว้สำหรับจัดดอกดารารัตน์ที่สื่อความหมายถึงการสอบจิ้นซื่อเป็นแน่ กระถางที่ว่านั้นต่างจากกระถางเซี่ยนหยางธรรมดาทั่วไปของพวกข้าที่หากไม่ใช่ทรงกลมก็จะเป็นทรงสี่เหลี่ยม และไม่ใช่เพียงเพื่อเอาไว้ตกแต่งให้เข้ากับชั้นวางไม้จันทร์แดงเท่านั้น แต่ต้องการจัดดอกไม้ที่สื่อความหมายถึงการสอบจิ้นซื่อ เช่นนั้นก็ต้องใช้เวลามาก เป็นไปได้มากว่าคุณชายใหญ่สือต้องการจะมอบให้ผู้อื่นเจ้าค่ะ!”

“มอบให้ผู้อื่นอย่างนั้นหรือ” ซือเซียงเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “ยังมีผู้ใดที่ทำให้คุณชายใหญ่สือต้องให้ความใส่ใจมากขนาดนี้ด้วยหรือ”

“ไม่รู้เหมือนกันเจ้าค่ะ” เสี่ยวถานยิ้มตอบ “คุณชายใหญ่สือกับสะใภ้ใหญ่สือล้วนเป็นผู้ที่ชื่นชอบการสังสรรค์กับผู้อื่นยิ่งนัก ด้วยเหตุนี้ แม้สะใภ้ใหญ่สือจะเพิ่งคลอดบุตรได้ยังไม่ถึงเดือน แต่ก็ได้ตระเตรียมเชื้อเชิญญาติสนิทและมิตรสหายมาทานโจ๊กล่าปาในจวนช่วงเทศกาลล่าปา[1] กันแล้วเจ้าค่ะ”

เรื่องนี้ซือเซียงก็ทราบเช่นกัน นางกล่าวยิ้มๆ ว่า “กล่าวไปแล้วสะใภ้ใหญ่สือผู้นี้ก็ไม่เลวนัก ตั้งแต่แต่งงานเข้าตระกูลเฉิงมา ก็ทำโจ๊กล่าปาด้วยตนเองและนำไปส่งให้แต่ละจวนในทุกๆ ปีอีกด้วย”

เสี่ยวถานได้ยินแล้วก็บุ้ยปาก พลางกล่าวท้วงว่า “ต่อให้นางเพียบพร้อมด้วยคุณธรรมแล้วจะทำอย่างไรได้เจ้าคะ คุณชายใหญ่ของพวกข้าต่างหากที่เป็นบุตรชายคนโตที่เป็นทายาทสายตรง ภรรยาของคุณชายใหญ่ของพวกข้าต่างหากที่จะมีฮูหยินเอกของตระกูลในภายภาคหน้า”

ซือเซียงถึงตระหนักได้ว่าตนเองพลั้งปากไปเสียแล้ว รีบกล่าวยิ้มๆ ว่า “จริงด้วย! ข้าก็เพียงกล่าวไปอย่างนั้นเอง เจ้าอย่าได้ใส่ใจเลย”

ระยะนี้เสี่ยวถานสนิทสนมกับซือเซียงเหมือนดังพี่สาวน้องสาว ครั้นได้ยินแล้วก็ฉุกคิดได้ว่าตนเองพูดจาแรงเกินไป จึงลอบรู้สึกเสียใจอย่างอดไม่ได้ อธิบายไปว่า “เป็นเพราะข้าทนดูจวนรองที่ชอบประจบประแจงผู้ที่เหนือกว่าแต่เหยียบย่ำผู้ที่ต่ำกว่าไม่ได้จึงกล่าวไปเช่นนั้น พี่สาวคงไม่ทราบว่าพี่ชายร่วมสายเลือดของคุณชายหมิ่นผู้นั้นได้รับตำแหน่งจ้วงหยวนในปีเหรินเฉินกระมัง นายท่านสี่ของพวกข้าก็สอบได้จิ้นซื่อในปีนั้นเช่นเดียวกัน แต่ได้ตำแหน่งจิ้นซื่อขั้นสอง[2] อันดับที่สิบสอง คุณชายใหญ่สือตั้งใจประจบประแจงคุณชายหมิ่นผู้นั้น ทำเสมือนกับว่าหากประจบประแจงคุณชายหมิ่นผู้นั้นได้ก็เท่ากับเอาอกเอาใจไปถึงจ้วงหยวนได้ก็ไม่ปาน จึงเหยียบย่ำนายท่านสี่ของพวกข้าไว้ใต้ฝ่าเท้า”

โจวเสาจิ่นไม่แปลกใจเลยสักนิด

ทว่าซือเซียงกลับตกตะลึงพลางเอ่ยขึ้นว่า “มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ”

เสี่ยวถานกึ่งขุ่นเคืองกึ่งปรารถนาจะสมานรอยร้าวระหว่างนางกับซือเซียงเมื่อครู่ จึงกล่าวด้วยใจที่อัดอั้นว่า “ยังมีมากกว่านั้นอีกเจ้าค่ะ! คราวก่อนตอนที่คุณชายหมิ่นกับคุณชายใหญ่ไปเป็นแขกของตระกูลกู้ที่ซอยเหมยฮวานั้น ไม่รู้ว่าคุณชายใหญ่สือไปทราบมาได้อย่างไร จึงปรารถนาจะติดตามไปด้วย หลังจากนั้น ตระกูลกู้ก็จัดงานเลี้ยงต้อนรับคุณชายหมิ่น และนำเหล้าองุ่นล้ำค่าของตระกูลออกมารับแขก ในตอนนั้นคุณชายหมิ่นได้กล่าวหยอกล้อไปว่า น่าเสียดายที่ไม่มีวาสนาได้เห็นจอกแสงรัตติกาล[3]จอกนั้น คุณชายใหญ่สือจึงรีบนำจอกสุราที่เรียกว่า ‘จอกแสงรัตติกาล’ ที่ไม่รู้ว่าไปหามาจากที่ใดมามอบให้คุณชายหมิ่น แต่น่าเสียดายที่คุณชายหมิ่นไม่แยแสคุณชายใหญ่สือ ไม่เพียงคืน ‘จอกแสงรัตติกาล’ จอกนั้นแก่คุณชายใหญ่สือเท่านั้น แต่ยังกล่าวกับคุณชายใหญ่สืออีกว่า การคบกันของวิญญูชน แม้เพียงน้ำเปล่ารสจืดก็คบหากันได้ ทำเอาคุณชายใหญ่สือหน้าแดงเถือกด้วยความอับอาย…

…ครั้นพวกข้าได้ยินแล้วก็รู้สึกสาแก่ใจยิ่งนัก…

…คุณชายใหญ่สือมักจะอาศัยความที่เขาอายุมากกว่าคุณชายใหญ่ ชอบมาชี้นิ้วสั่งการต่อหน้าคุณชายใหญ่อยู่เสมอ แต่เขากลับไม่คิดเลยว่า ต่อให้เขาอายุมากกว่าคุณชายใหญ่แล้วอย่างไร ผู้ที่จะมาดูแลตระกูลเฉิงในภายหน้า ก็ยังคงเป็นคุณชายใหญ่ของพวกข้าอยู่ดี”

ซือเซียงกล่าวเห็นด้วยไม่หยุด

ทว่าโจวเสาจิ่นกลับครุ่นคิดอยู่ในใจว่า หยวนซื่ออยากจะรับบุตรีของตระกูลหมิ่นมาเป็นสะใภ้ ยามที่หมิ่นเจี้ยนเฉียงมาเป็นแขกในเรือน นางจึงไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไม่ฉกฉวยผลประโยชน์จากโอกาสที่ดีเช่นนี้มิใช่หรือ หมิ่นเจี้ยงเฉียงกล่าวแดกดันเฉิงสือขนาดนั้น หรือว่าจะรู้อะไรบางอย่างมาก่อนแล้วกันแน่ อีกทั้งยังประทับใจในตัวเฉิงสวี่เป็นอย่างมาก คงอยากให้เฉิงสวี่มาเป็นน้องเขยของเขากระมัง

นางลุกขึ้นมาจิบชาร้อนหนึ่งจิบ

ไม่ว่าอย่างไร ทั้งหมดล้วนไม่เกี่ยวข้องกับนาง นางเพียงภาวนาขอให้องค์พระโพธิสัตว์พิทักษ์รักษา นางให้อยู่อย่างสงบสุข ผ่านวันเวลาสองปีนี้ไปได้อย่างราบรื่นดุจดั่งคลื่นลมที่เงียบสงบ ส่วนเรื่องที่เฉิงสวี่จะแต่งงานกับผู้ใด หรือว่าเฉิงลู่จะเป็นเช่นไรนั้น ล้วนไม่เกี่ยวข้องกับนางเลยทั้งสิ้น

***

ภายในเรือนลี่เสวี่ย ลานบ้านที่กว้างใหญ่ไร้ซึ่งเสียงเอื้อนเอ่ยของผู้คน ไอหนาวเย็นยังไม่พัดโชยมาถึง ทว่าเบื้องหน้าโต๊ะเขียนหนังสือในห้องหนังสือกลับวางกระถางไฟใบใหญ่เอาไว้กระถางหนึ่ง ถ่านเงินชั้นดีในกระถางนั้นลุกโชติช่วงเป็นสีแดงจ้า สว่างไสวไปทั่วทั้งห้อง

ชั้นหนังสือภายในห้องนั้นว่างเปล่า แต่บนพื้นกลับมีจดหมาย หนังสือ และหนังสือภาพวาดตกกระจายเกลื่อนกลาดอยู่ทั่วพื้น

ร่างสูงโปร่งของเฉิงฉือ สวมชุดเจียเผาผ้าเนื้อละเอียดสีครามตัวหนึ่งยืนอยู่หน้ากระถางไฟ ลำตัวตั้งตรงราวกับต้นไป๋ฮว่า[4] กลางทุ่งหญ้าในทางตอนเหนือ สีหน้าสงบนิ่งประหนึ่งรูปปั้นที่ดำรงอยู่อย่างไม่เปลี่ยนแปลงชั่วกาลนานก็ไม่ปาน เปิดสมุดบัญชีที่อยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือมากวาดตาดูสองสามครั้งจากนั้นก็โยนลงในกระถางไฟอยู่อย่างนั้น

Verify captcha to read the content.VERIFYCAPTCHA_LABEL

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน