อย่างน้อยพี่สาวก็ไม่เป็นอะไร
นางสบายใจขึ้นมาก แต่ว่ามักจะนึกถึงคนตระกูลเฉิง นึกถึงวันเวลาที่ตัวเองอาศัยอยู่ที่ตระกูลเฉิงขึ้นมาอยู่บ่อยๆ โดยเฉพาะเฉิงเก้าที่เป็นคนมั่นคง เงียบขรึม จิตใจกว้างขวางและใจดี ในปีที่นางเกิดเรื่องขึ้นนั้น คนจากจวนสองและจวนสามล้วนเงียบกริบไม่พูดอะไรสักอย่าง มีเพียงคนจากจวนสี่ที่ออกหน้าแทนนาง เฉิงเก้าถึงขนาดไปต่อยเฉิงสวี่อย่างแรงกำปั้นหนึ่ง ในปีที่ยี่สิบเจ็ดรัชศกจื้อเต๋อ เฉิงเก้าในนามจินหลิงสอบเข้าซู่จี๋ซื่อได้ สังกัดกรมราชทัณฑ์ ยังพาภรรยาและบุตรชายมาเยี่ยมนางเป็นการเฉพาะด้วย
คนที่ดีขนาดนี้ อนาคตกำลังสดใส ทำไมพอพูดว่าไม่มีก็คือหายไปเลยได้อย่างไร
ยังมีเฉิงอี้ที่ในยามปกติมักชอบหัวเราะเฮฮาไม่มีลักษณะที่สำรวม แต่กลับโต้แย้งกับมารดาของเฉิงเจียเพื่อนาง ทั้งยังกลายมาเป็นคู่อริกับเฉิงจวี่
พวกเขามีความผิดอะไร
อาจจะเป็นเพราะว่าแซ่เฉิง
จึงหายไปเลยเช่นนี้
คิดมาถึงตรงนี้ น้ำตาของนางก็ไหลลงมาเป็นสายน้ำ ทำอย่างไรก็ไม่หยุด
ต่อมา เฉิงลู่มาหานาง
นางทนไม่ได้อีก
ทำไมคนดีๆ ต้องตายตกกันไปหมด แต่คนเช่นเฉิงลู่ที่ถูกตระกูลเฉิงขับไล่ออกจากตระกูลเช่นนี้กลับได้รับความโชคดีในความโชคร้าย ยิ่งอยู่ก็ยิ่งดีขึ้น
สวรรค์ช่างอยุติธรรมนัก!
ด้วยเหตุนี้จึงมีแผนลอบสังหารขึ้นในเวลาต่อมา
คิดมาถึงตรงนี้ น้ำตาของโจวเสาจิ่นเริ่มไหลไม่หยุดอีกครั้ง แต่ว่านางรีบเช็ดน้ำตาจนแห้ง
เพราะได้พูดเอาไว้แล้วว่าจะไม่ร้องไห้ ในภายภาคหน้าไม่ว่าจะต้องพบเจอกับเรื่องอะไรก็จะไม่ร้องไห้น้ำตาร่วงอีก
เกลียดยิ่งนักที่นางในชาติที่แล้วใช้ชีวิตอย่างสับสนมึนงง นอกจากจะไม่ใส่ใจเรื่องของตัวเองสักอย่างแล้ว วันนี้ที่อยากจะใช้ประโยชน์จากสิ่งที่รู้ในชาติก่อนเพื่อช่วยเหลือตระกูลเฉิงกลับไม่มีเบาะแสอะไรเลยสักอย่างในหัว
โจวเสาจิ่นอดไม่ได้ตั้งข้อสมมติฐานขึ้น ถ้าหากพี่สาวเผชิญกับเรื่องพวกนี้จะทำอย่างไรบ้างนะ?
เล่าให้ท่านยายฟัง?
ไม่น่าจะเป็นไปได้
นางที่เหมือนกับคนถูกวิญญาณร้ายเข้าสิง เพื่อชื่อเสียงของนางแล้ว พี่สาวล้วนปิดบังเอาไว้อย่างสุดความสามารถ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องใหญ่อย่างการที่ตระกูลเฉิงถูกตรวจสอบและถูกกำจัดแบบถอนรากถอนโคนโดยไม่มีหลักฐานเช่นนี้!
คิดหาวิธีแก้ไขด้วยตัวเอง?
เห็นได้ชัดว่าการล่มสลายของตระกูลเฉิงนั้นเกี่ยวข้องกับการเมืองภายในราชสำนัก ไม่ต้องพูดถึงพวกนางที่เป็นสตรีในจวนที่ประตูชั้นนอกไม่ออกประตูชั้นในไม่ข้าม แม้แต่ท่านพ่อที่คนเรียกขานว่า ‘ข้าราชการผู้มีความสามารถ’ ขั้นสี่ก็ยังไม่มีอำนาจพอเข้าไปแทรกแซงได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องจะเปลี่ยนแปลงสถานการณ์
คิดมาถึงตรงนี้ โจวเสาจิ่นคิดแผนดีๆ ขึ้นมาได้
ถึงแม้ว่านางจะไม่มีวิธีเปลี่ยนแปลงชะตาร้ายของตระกูลเฉิงได้ แต่นางสามารถบอกเล่าเรื่องนี้แก่ใครสักคนที่มีอิทธิพลต่อความเป็นไปของตระกูลเฉิงได้ ให้คนผู้นั้นไปหยุดยั้งแทน!
แต่ ‘การบอกเล่า’ ก็ดูเหมือนจะไม่ถูกต้องนัก
ประสบการณ์จากช่วงหลายวันมานี้ทำให้นางเข้าใจเรื่องหนึ่งได้ถ่องแท้ยิ่งขึ้น นั่นคือ หากว่าช่องว่างของตำแหน่ง ความสามารถ ความรู้ระหว่างทั้งสองฝ่ายแตกต่างกันมากเกินไป ถ้อยคำที่กล่าวออกไปจะไม่มีน้ำหนักมากพอในสายตาของคู่สนทนา ไม่สามารถดึงความสนใจของอีกฝ่ายขึ้นมาได้
นี่คือสิ่งที่ผู้คนมักพูดถึงกันที่ว่าคนตัวเล็กตัวน้อยคำพูดก็มีน้ำหนักน้อย
ที่สำคัญอยู่ที่ตระกูลเฉิงนี้ นางคือคนประเภทนั้น!
คนที่กำเนิดอยู่ในบ้าน เติบโตมาอยู่ในห้องหอ ในสายตาของผู้ใหญ่ก็เป็นเพียงคนที่ยังรู้คำไม่ครบถ้วน เรื่องความรู้ความสามารถยิ่งไม่ต้องพูดถึง จะไปมีคุณสมบัติอะไรไปพูดเรื่องความรุ่งโรจน์และความล่มสลายของตระกูลได้? ไม่แน่ว่าเพียงถ้อยคำของตัวเองออกจากปาก ก็อาจจะถูกมองว่า ‘เป็นบ้าเสียสติ’ แล้วส่งไปให้ท่านพ่อลงโทษ หรือไม่ก็อาจจะเป็นเหมือนกับที่พี่สาวเข้าใจว่านางถูกวิญญาณร้ายเข้าสิง หาพระมาทำพิธีให้ สิ่งที่นางพูดยิ่งไม่มีคนเชื่อ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องการช่วยเหลือตระกูลเฉิง!
แต่หากว่าสามารถได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจจากผู้ใหญ่สักคนในตระกูลเฉิงที่พูดได้น่าเชื่อถือ นางหาเวลาที่เหมาะสมส่งสัญญาณเตือน เช่นนี้ไม่เพียงสามารถทำให้ตระกูลเฉิงรอดพ้นจากชะตาร้าย ยังไม่เป็นการขุดหลุมฝังตัวเองด้วย!
โจวเสาจิ่นพลันยินดีขึ้นมา ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าความคิดนี้ใช้ได้!
ถ้าหากตระกูลเฉิงยังปลอดภัยอยู่ดีมีสุข พี่สาวย่อมไม่ขาดที่พึ่ง ท่านพ่อย่อมไม่ต้องโดนร่างแหไปด้วย ท่านยาย ท่านลุงท่านป้า พี่ชายเก้าและพี่ชายอี้ก็สามารถมีอนาคตที่รุ่งโรจน์เพื่อกอบกู้ทรัพย์สินของครอบครัว…ไม่แน่ว่าอาจจะมีมากกว่าจวนหลักก็เป็นได้!
ถึงเวลานั้นให้คนตระกูลเฉิงจวนหลัก จวนรอง จวนสาม และจวนห้าทั้งหมดล้วนต้องเกรงใจสีหน้าของจวนสี่!
คิดถึงว่าจวนสี่อาจจะสามารถกดดันผู้นำหลายคนของจวนอื่นได้ โจวเสาจิ่นอดไม่ได้หัวเราะขึ้นมา พิงอยู่กับหัวเตียงพลางคิดกับตัวเองว่าอาศัยใครส่งสัญญาณเตือนดี
ผู้ที่เหมาะสมที่สุดไม่มีใครเกินท่านผู้นำตระกูลเฉิงซวี่จากจวนสองแล้ว เรื่องมีบารมีนั้นไม่ต้องพูดถึง ทั้งประสบการณ์ วิสัยทัศน์ และความรู้ล้วนไม่มีผู้ใดไม่ว่าจะเป็นคนธรรมดาหรือผู้มีความรู้เทียบได้ ถ้อยคำของเขาที่กล่าวออกมาไม่มีใครในตระกูลเฉิงกล้าโต้แย้งด้วยแน่นอน
แต่ว่าเขาจากไปอย่างสงบในวัยแปดสิบแปดปี ทว่าตระกูลมีเรื่องเกิดขึ้นในปีที่สองของรัชศกเทียนซุ่น ปีที่สี่หลังจากที่เขาเสียชีวิต…จึงเป็นท่านผู้นำตระกูลเฉิงจากจวนสอง…ไม่ได้!
เช่นนั้นก็เหลือเพียงนายท่านใหญ่เฉิงจิงของจวนหลัก
เขาไม่เพียงแต่เป็นบุตรชายคนโตของตระกูลเฉิงจวนหลัก ยังเป็นผู้ที่มีตำแหน่งสูงที่สุดในราชสำนักของตระกูลเฉิงในเวลานี้อีกด้วย ตอนนี้ก็มีแนวโน้มว่าเขาจะเข้ามารับช่วงต่อเฉิงซวี่อยู่รางๆ รอจนเฉิงซวี่เสียชีวิต ก็กลายมาเป็นผู้มีอำนาจตัดสินใจของตระกูลเฉิงอย่างไม่ยอมยกให้ผู้อื่น ยิ่งกว่านั้นยังมีตำแหน่งเป็นชื่อฝู่ [1] ในคณะเจ้ากรมอีกด้วย
แต่ว่าเขาอยู่ไกลถึงเมืองหลวง เกือบสิบปีแล้วไม่ได้กลับบ้าน ตนเองนั้นเคยเจอเขาไกลๆ เพียงครั้งเดียวตอนที่ยังเป็นเด็ก แม้แต่รูปร่างหน้าตาของเขาจะเป็นอย่างไรนั้นก็ยังจำไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเมื่อได้คุยกับเขาแล้วจะได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจจากเขา
นายท่านรองเฉิงเว่ยจากจวนหลัก?
เขาเองก็อยู่เมืองหลวง เป็นบัณทิตอยู่ที่สถาบันการศึกษาฮั่นหลิน ถึงแม้ว่าต่อมาจะได้เลื่อนไปดำรงตำแหน่งที่ฝ่ายกวงซื่อชิง [2] ทว่าเมื่ออยู่ภายใต้ลำแสงของพี่ชายของเขาแล้ว นางไม่มีความทรงจำอะไรเกี่ยวกับคนผู้นี้เลย ยิ่งไปกว่านั้นที่ตระกูลเฉิงมีเรื่องเกิดขึ้นนี้ก็เป็นเพราะจับเรื่องราวการทุจริตของเขาได้…หาเขา เช่นนั้นไม่สู้ไปหาพี่ชายของเขาเฉิงจิงดีกว่า!
นายท่านใหญ่เฉิงอี๋จากจวนสอง?
ในวัยสิบแปดปีเขาก็ได้เป็นจวี่เหริน ทว่าหลังจากนั้นสอบอีกหลายต่อหลายครั้งก็สอบไม่ผ่านอีกเลย บุตรชายของตนเองสอบได้เป็นจิ้นซื่อแล้ว เขายังอยู่ที่ตำแหน่งเดิม กล่าวได้ว่าเขาค่อนข้างอ่อนไหวกับเรื่องที่ว่า ‘บิดาเป็นจวี่เหรินบุตรชายเป็นจิ้นซื่อ’ จึงตัดสินใจไม่เข้าร่วมการสอบของราชสำนักอีกเลยนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ดังนั้นจึงรับช่วงต่อดำรงตำแหน่งเป็นหัวหน้าประจำสำนักศึกษาแห่งตระกูลเฉิง
ในความทรงจำของนางนั้น หลังจากนั้นเขาก็ไม่เคยออกจากจินหลิงอีกเลย
ชื่อเสียงของตระกูลเฉิงนั้นผูกติดอยู่กับราชสำนัก เขาซึ่งไม่ได้รับราชการในราชสำนัก จะมีอิทธิพลต่ออนาคตของตระกูลเฉิงได้อย่างไร
เขาก็ไม่เหมาะสม
นายท่านใหญ่เฉิงหลูจากจวนสาม?
ทุกคนต่างพูดกันว่าเขาเรียนหนังสือจนเพี้ยน แม้แต่จิ่วไช่ [3] กับสุ่ยเซียน [4] ก็แยกไม่ออก เฉิงเจิ้งผู้เป็นบุตรชายเป็นถึงจวี่เหรินแล้ว เขากลับยังเป็นแค่ซิ่วไฉ นายท่านผู้เฒ่าจวนสามมีเรื่องอะไรก็ไม่ถามบุตรชายผู้นี้ ล้วนตรงไปหารือกับเฉิงเจิ้งแทน…นับว่าเขาไม่มีความสำคัญอะไรในจวนสาม
คนประเภทนี้…ก็ไม่เหมาะสมอย่างแน่นอน!
ท่านลุงใหญ่เหมี่ยน?


VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน