คุณหนูรองคิดกังวลเพื่อนางเช่นนี้ ไม่เปล่าประโยชน์ที่นางให้นมคุณหนูรองมา!
“ตราบใดที่คุณหนูรองยังใช้งานข้า ข้าก็จะอยู่รับใช้คุณหนูรองไปเรื่อยๆ เจ้าค่ะ” ฝานหลิวซื่อเช็ดขอบตาพลางกล่าว “เพียงแต่ว่าที่ดินไม่กี่หมู่ที่บ้านนั้นเป็นพ่อของลูกๆ ที่เหลือเอาไว้ให้เป็นมรดก ไม่อาจทิ้งไปได้ ข้าเองก็ไม่มีทางเลือกเจ้าค่ะ! ยิ่งไปกว่านั้น ลุงใหญ่ของเด็กๆ จะให้ออกมาหรือไม่นั้นยังต้องเจรจาโน้มน้าวกันอีก! ข้ายินยอมทิ้งแตงโมไปเก็บเมล็ดงาเสียที่ไหนกันเจ้าคะ หากว่าไม่รักษาที่ดินไม่กี่ฉื่อนี้ไว้ ข้าจะมีหน้าไปพบบิดาของลูกๆ ที่ปรโลกได้อย่างไรเจ้าคะ!”
คำพูดนี้ก็มีเหตุผล
โจวเสาจิ่นครุ่นคิด กล่าวว่า “หรือไม่ก็ให้ลู่เอ๋อร์รั้งอยู่ที่บ้านเดิม แล้วให้ฉีเอ๋อร์ตามเจ้ามาที่ตระกูลโจวเป็นบ่าวรับใช้? ช่วยลดค่าใช้จ่ายไปได้หนึ่งคน แล้วก็ได้ดูแลท่านอย่างใกล้ชิด ถ้าหากว่าผลเก็บเกี่ยวไม่ดี เบี้ยรายเดือนของฉีเอ๋อร์มากบ้างน้อยบ้างก็ยังสามารถรวมมาช่วยเหลือครอบครัวได้บ้าง เป็นการดีต่อทั้งสองฝ่ายไม่ใช่หรือ!”
เป็นยิ่งกว่าการดีต่อทั้งสองฝ่ายเสียอีก
เมื่อสามารถดูแลทุกๆ ด้านได้อย่างทั่วถึงแล้ว หากเป็นเช่นนี้ อีกไม่นานพวกเขาก็จะสามารถมีชีวิตที่ดีขึ้นได้!
ฝานหลิวซื่อตื่นเต้นยิ่ง แต่เมื่อคิดได้ว่าคุณหนูใหญ่เป็นใหญ่ในบ้าน ก็อดลังเลขึ้นมาไม่ได้ กล่าวขึ้น “บ่าวรับใช้ของตระกูลโจวแต่ละคนล้วนรับผิดชอบงานแต่ละอย่างอยู่แล้ว ฉีเอ๋อร์อายุยังน้อย มาแล้วจะทำอะไรได้เจ้าคะ ไม่อาจรับเบี้ยรายเดือนแต่ไม่ทำอะไรหรอกนะเจ้าคะ เช่นนั้นในเรือนยังจะมีกฏอะไรให้น่าเชื่อถือได้อีกเจ้าคะ!”
โจวเสาจิ่นเพียงต้องการให้นางตกลง ส่วนเรื่องอื่นๆ นั้น นางเห็นว่าไม่ใช่ปัญหาอะไร ในกรณีที่พี่สาวรู้สึกว่าไม่เหมาะสม นางจะใช้เงินส่วนตัวของตัวเองจ่ายให้กับฝานฉี ถึงเวลานั้นค่อยบอกกับพวกหม่าฟู่ซานให้ชัดเจนก็ได้แล้ว
กล่าวคือนางไม่อาจทำให้ฝานหลิวซื่อรู้สึกไม่สบายใจได้
“เช่นนั้นสำหรับเรื่องนี้ก็สรุปตามนี้ก็แล้วกัน” นางกล่าว “อีกสักครู่ข้าจะไปคุยกับท่านพี่ ว่าจะให้ฝานฉีมาช่วยทำธุระต่างๆ อยู่ข้างกายข้าเป็นการชั่วคราว อย่างไรเสียข้าเองก็ต้องการคนมาดูแล”
ถ้าหากเป็นก่อนหน้านี้เพียงอยากจะตอบแทนความดีของฝานหลิวซื่อในชาติที่แล้ว จนกระทั่งเมื่อคำพูดนี้ออกจากปากไปแล้วโจวเสาจิ่นพลันรู้สึกว่าความคิดนี้ของตัวเองก็ไม่เลวนัก
เนื่องจากนางมีเรื่องต้องเก็บเอาไว้ให้พ้นจากพี่สาว จึงต้องปรับเปลี่ยน สอนคนของตัวเองสักสองสามคนถึงจะถูก ในชาติที่แล้วฝานฉีเป็นคนที่มีความสามารถผู้หนึ่ง ฝานมามายังเป็นแม่นมของนาง ซื่อสัตย์และจงรักภักดีต่อนาง…ไม่มีใครเหมาะสมมากไปกว่าฝานฉีอีกแล้ว
โจวเสาจิ่นเร่งเร้าฝานหลิวซื่อ “มามา เจ้ากลับไปจัดการเรื่องที่บ้านให้เรียบร้อยแล้วพาฝานฉีมาด้วย”
ฝานหลิวซื่อยังคงมีความลังเลเล็กน้อย
ซือเซียงเข้ามาช่วยโจวเสาจิ่นเปลี่ยนชุด
“มามาเร่งมือหน่อย” โจวเสาจิ่นสางผมไปด้วย กล่าวกับฝานหลิวซื่อไปด้วย “ข้ายังต้องไปคัดลอกไตรปิฎกให้ท่านยายอีก”
ฝานหลิวซื่อกัดฟันครั้งแล้วครั้งเล่า ลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็วกล่าวว่า “เช่นนั้นข้าจะกลับไปสักหน่อย พาฉีเอ๋อร์กลับมาให้ท่านเจ้าค่ะ”
หากว่าคุณหนูใหญ่ไม่เห็นด้วย อย่างมากที่สุดก็ให้ฉีเอ๋อร์ไม่ต้องรับเบี้ยรายเดือน ประหยัดลงบางส่วนจากค่าใช้จ่ายประจำวันของตัวเอง ให้เป็นบ่าวรับใช้ของคุณหนูรองเปล่าๆ ก็ได้ ไม่อาจละทิ้งความปรารถนาดีของคุณหนูรองในครั้งนี้ได้
โจวเสาจิ่นไม่รู้ว่าในใจของฝานหลิวซื่อคิดอย่างไร
นางและพี่สาวไปเรือนเจียซู่พร้อมกัน
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนกำลังโยกย้ายต้นว่านเหนียนชิง [1] กระถางหนึ่งอยู่ พอเห็นพวกนางสองพี่น้องก็ยิ้มพลางวางกรรไกรลง กล่าวว่า “พวกเจ้ามาแล้ว อากาศร้อนขึ้นเรื่อยๆ ข้าให้หวังมามาไปขอน้ำชาซางฉาที่โจวเหนียงจื่อมาได้เล็กน้อย ชูจิ่นเดี๋ยวตอนที่เจ้าไปเรือนหานชิวก็อย่าลืมนำไปด้วยสักหน่อย ดื่มคนละจอกใหญ่กับป้าใหญ่ของเจ้า
โจวชูจิ่นยิ้มสดใสตอบรับ รอจนกระทั่งฮูหยินใหญ่เหมี่ยนมาคารวะยามเช้าฮูหยินผู้เฒ่ากวนแล้ว ให้สาวใช้ถือน้ำชาซางฉาไปที่เรือนหานชิว
โจวเสาจิ่นคัดลอกไตรปิฎกอยู่ในห้องที่เปิดหน้าต่างออกแล้วเหมือนเช่นเคย
ลมโชยมาเบาๆ นางเงยหน้าขึ้นก็สามารถมองเห็นท่านยายยืนอยู่ใต้ชายคาของเฉลียงกำลังตัดตกแต่งต้นว่านเหนียนชิงอยู่
เสียง ‘ฉับๆ’ ไม่เพียงไม่ทำให้คนรู้สึกถูกรบกวน กลับมีความรู้สึกประเภทที่ทำให้ใจสงบจากความกังวลได้
โจวเสาจิ่นอดยิ้มน้อยๆ ไม่ได้ พู่กันที่ตวัดลงบนกระดาษยิ่งคล่องแคล่วมากขึ้น
แต่ว่านางเพิ่งจะคัดลอกไตรปิฎกเสร็จไปหนึ่งย่อหน้า ก็มีสาวใช้วิ่ง ‘ตึงๆๆ’ เข้ามา
“นายหญิงผู้เฒ่า นายหญิงผู้เฒ่าเจ้าคะ!” สาวใช้หอบหายใจพลางกล่าว “ฮูหยินผู้เฒ่ามาเจ้าค่ะ!”
พู่กันของโจวเสาจิ่นหยุดชะงัก น้ำหมึกที่หยดลงบนกระดาษกลายเป็นดวงกลม
ที่ตระกูลเฉิง คนที่สามารถถูกเรียกว่า ‘ฮูหยินผู้เฒ่า’ มีเพียงคนเดียวเท่านั้น
ท่านย่าของเฉิงสวี่ แม่สามีของหยวนซื่อ มารดาของเฉิงจิง เฉิงเว่ย และเฉิงฉือ หลังจากที่เสียชีวิตแล้วได้รับการขนานนามว่าเป็นภรรยาของเฉิงซวิน กวงลู่ไท่ฝูยศผิ่นขั้นหนึ่งเจิ้ง ฮูหยินผู้เฒ่าของตระกูลเฉิงจวนหลัก ซึ่งก็คือ กัวซื่อ นั่นเอง
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนประหลาดใจเล็กน้อย มองพระอาทิตย์ด้านนอกแล้ว กล่าวว่า “ทำไมนางมาในเวลานี้ได้”
“ไม่ทราบเจ้าค่ะ” สาวใช้ตื่นตระหนกเล็กน้อย กล่าวว่า “ดูลักษณะของฮูหยินผู้เฒ่าแล้ว ดูไม่เหมือนกับว่าจะมีเรื่องอะไรเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนโหวกเหวกอยู่หลายประโยค สั่งสาวใช้ว่า “เชิญฮูหยินผู้เฒ่าไปดื่มชาที่ห้องรับแขก ข้าเปลี่ยนชุดแล้วจะตามไป”
สาวใช้วิ่ง ‘ตึงๆๆ’ จากไปอีกครั้ง
ซื่อเอ๋อร์ช่วยฮูหยินผู้เฒ่ากวนเปลี่ยนชุด
โจวเสาจิ่นกลับมือเท้าเย็นเป็นน้ำแข็ง นั่งอยู่ตรงนั้นสักพักใหญ่แล้วก็ยังหายใจไม่สะดวกนัก
เรือนเจียซู่ของจวนสี่อยู่ติดกับเรือนหานปี้ซานของจวนหลัก และเรือนหานปี้ซานก็คือสถานที่อยู่อาศัยของฮูหยินหม้ายกัว


VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน