ถึงแม้จะใช้สำหรับรับรองบรรดาหลงจู๊ที่มาจากสาขาใหญ่ แต่ห้องพักของร้านอวี้ไท่สาขาหนิงโปก็ตกแต่งได้ไม่เลวนัก เครื่องเรือนเป็นสีดำเคลือบเงาทั้งหมด แขวนด้วยผ้าม่านผ้าไหมหูโจวสีเขียว เครื่องกระเบื้องลายคราม ฉากกั้นปักลายตามรูปแบบเซียงซิ่วของหูหนาน ดูแล้วกว้างขวางโออ่า ทังยังไม่ขาดความประณีตและสง่างาม
แต่ไม่ว่าอย่างไรมันก็ไม่อาจเทียบได้กับเรือนหานปี้ซานที่ซอยจิ่วหรู ดังนั้นเมื่อฮูหยินผู้เฒ่ากัวเห็นห้องที่พวกนางกำลังจะเข้าพักก็ไม่ได้มีความประทับใจอะไรเป็นพิเศษ ทว่ากลับชื่นชอบต้นกุ้ยฮวาทั้งสองต้นกลางลานนั้นมาก ยิ้มพลางมองสำรวจไปรอบๆ หลายครั้ง กล่าวกับเฉิงฉือว่า “…ต้นไม้ทั้งสองต้นนี้ถึงฤดูของมันแล้ว”
เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ ว่า “พวกเราตั้งมื้อเย็นที่ใต้ต้นกุ้ยฮวาดีหรือไม่ขอรับ วันนี้ไม่มีลมอะไร!”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวครุ่นคิดครู่หนึ่ง กล่าวว่า “ช่างมันเถิด! พวกเราค้างที่นี่เพียงหนึ่งคืนเท่านั้น จะเป็นการทำให้พวกเขายุ่งจนหัวหมุนเปล่าๆ”
เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ “นี่มีอะไรให้ยุ่งยาก! ท่านใช้พวกเขาพวกเขาจะดีใจมากกว่า หากไม่ว่าอะไรท่านก็ไม่พูด ไม่ว่าอะไรก็ไม่ทำก็จากไปแล้ว เช่นนั้นพวกเขากลับจะยิ่งไม่สบายใจขอรับ” ขณะที่กล่าว เขาสั่งชิงเฟิงว่า “เจ้าไปบอกหวังเสี่ยว ว่าให้ตั้งมื้อเย็นของวันนี้ที่ใต้ต้นกุ้ยฮวา”
ชิงเฟิงรีบวิ่งออกไปส่งสารอย่างรวดเร็ว สตรีที่หวังเสี่ยวส่งมารับใช้โจวเสาจิ่นรีบสั่งให้สาวใช้และบ่าวสูงวัยที่พามาด้วยไปยกโต๊ะเก้าอี้
โจวเสาจิ่นประคองฮูหยินผู้เฒ่ากัวนั่งลงใต้ต้นกุ้ยฮวา เฉิงฉือรับน้ำชาที่สาวใช้ยกมาให้ส่งให้มารดาด้วยตัวเอง
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวรับน้ำชา จิบไปคำหนึ่งอย่างอารมณ์ดี
ชิงเฟิงวิ่งเข้ามากล่าวว่า “หลงจู๊หวังกล่าวว่า จะจัดการตามคำสั่งของฮูหยินผู้เฒ่าขอรับ ยังกล่าวอีกว่าได้จัดโต๊ะเลี้ยงรับรองข้างนอก…” เขาสำรวจสีหน้าของเฉิงฉือ
เฉิงฉือกล่าวเรียบๆ ว่า “ข้าออกเดินทางมาครั้งนี้เพื่อมาเป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่า ความปรารถนาดีของเขาข้ารับรู้แล้ว ข้าจะรับมื้อเย็นที่นี่ คืนพรุ่งนี้ข้าจะจัดโต๊ะเลี้ยงรับรองพวกเขาที่หอฟู่หยวน สาขาหนิงโปทำงานได้ดียิ่ง ลำบากทุกคนแล้ว”
ชิงเฟิงวิ่งเหยาะๆ ไปให้คำตอบอีกครั้งหนึ่ง
เฉิงฉือสั่งสตรีที่ถูกส่งมารับใช้พวกเขาว่า “นำอาหารขึ้นโต๊ะได้”
สตรีผู้นั้นขานตอบอย่างนอบน้อมว่า “เจ้าค่ะ” แล้วหมุนกายไปตั้งสำรับ
หมูสามชั้นตุ๋นซีอิ๊ว กุ้งผัดใบชาหลงจิ่ง ต้มจืดเต้าหูรวมมิตร ต้มสามโอชะ[1] หมูสับก้อนต้มซีอิ๊ว และเป็ดตุ๋นซีอิ๊ว…ไม่มีปลาสักจาน ทั้งหมดล้วนเป็นอาหารเฉพาะของเจียงหนาน
สตรีผู้นั้นอธิบายเสียงเบาว่า “หลงจู๊หวังกล่าวว่าฮูหยินผู้เฒ่ามีอายุแล้ว เกรงว่าจะไม่คุ้นเคยกับสถานที่แปลกใหม่ จึงสั่งให้ห้องครัวทำอาหารที่ฮูหยินผู้เฒ่ารับประทานเป็นประจำมาให้เป็นการเฉพาะเจ้าค่ะ”
เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ “ทำให้หลงจู๊หวังต้องลำบากแล้ว”
สตรีผู้นั้นกล่าวติดๆ กันว่า “ไม่กล้าเจ้าค่ะ” แล้วคอยรับใช้อยู่ข้างๆ อย่างระมัดระวัง
หลังจากรับมื้อเย็นอย่างเงียบๆ เสร็จเรียบร้อยแล้ว ทั้งสามคนก็นั่งสนทนากันที่ใต้ต้นกุ้ยฮวา
เฉิงฉือกล่าว “ถนนฟู่หยวนคือสถานที่ที่ครึกครื้นที่สุดของหนิงโป ไม่ว่าสินค้าอะไรก็ตามที่บรรทุกกลับมาจากต่างแดนล้วนนำมาค้าขายแลกเปลี่ยนที่นั่น พรุ่งนี้เช้าข้าจะไปเดินถนนฟู่หยวนเป็นเพื่อนท่าน ตอนเที่ยงไปกินข้าวที่หอฟู่หยวน ถ้าหากตอนบ่ายท่านยังไม่เหนื่อย พวกเราค่อยไปเดินเล่นที่ถนนฟู่หยวนต่อ แต่ถ้าท่านเหนื่อยแล้ว ก็กลับมาพักผ่อน ตอนกลางคืนให้คุณหนูรองกินอาหารทะเลเป็นเพื่อนท่าน ข้าจะไปเลี้ยงรับรองหลงจู๊และเสมียนของร้านตั๋วแลกเงินที่หอฟู่หยวน นานๆ ทีกว่าพวกเขาจะได้พบข้าสักครั้งหนึ่ง ในเมื่อข้ามาแล้ว จึงเลี่ยงไม่ได้จะต้องสร้างขวัญและกำลังใจให้พวกเขาสักหน่อย”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวยิ้มๆ ว่า “เรื่องพวกนี้ข้าเข้าใจดี เจ้าอย่าลืมว่า แม่ของเจ้าก็เคยดูแลกิจการของตระกูลเฉิงมาก่อน เจ้ามีธุระก็ไปจัดการเถิด ข้ามีเสาจิ่นอยู่เป็นเพื่อน เจ้าไม่ต้องห่วง”
โจวเสาจิ่นรีบกล่าว “ใช่แล้วเจ้าค่ะท่านน้าฉือ ฮูหยินผู้เฒ่าเก่งกาจยิ่งนัก เมื่อเช้ายังแนะนำข้าอยู่เลยว่าของอะไรที่ซื้อได้และของอะไรที่ไม่ควรซื้อบ้างเจ้าค่ะ!”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวได้ยินแล้วก็หัวเราะร่า กล่าวขึ้นว่า “ตอนที่ข้ายังเด็กก็เคยติดตามท่านพ่อของข้าออกไปท่องเที่ยว ได้พบเห็นประสบการณ์มาไม่น้อย! มีครั้งหนึ่งที่ซื่อชวน ท่านพ่อของข้ายืนกรานจะไปดูบ้านหลังเก่าของซูซื่อที่เหมยโจวให้ได้ ปรากฏว่าระหว่างทางพวกข้าเข้าไปในร้านของโจรร้านหนึ่ง หากไม่ใช่เพราะข้าเห็นคนในละแวกนั้นล้วนแสดงสีหน้าหวาดกลัวเวลาเดินผ่านหน้าร้านของพวกเขาและรีบเดินหนีไปแล้วล่ะก็ เกรงว่าคงถูกร้านนั้นหลอกเสียแล้ว…”
เวลาฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยถึงเรื่องในวัยเด็กขึ้นมาก็คุยเก่งขึ้นมาก
เฉิงฉือมองสีหน้าปีติยินดีของฮูหยินผู้เฒ่ากัวแล้ว พลันรู้สึกอบอุ่นอยู่ในใจ เป็นอีกครั้งที่รู้สึกว่าการพาโจวเสาจิ่นมาด้วยเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง ถึงแม้เด็กคนนี้จะไม่ค่อยฉลาดนัก แต่กลับรู้ว่าควรจะหลอกล่อผู้คนอย่างไร ตลอดการการเดินทางไม่ว่าเรื่องอะไร นางก็มักจะหลอกล่อให้มารดาพูดคุยออกมาได้ ทำให้มารดาเล่าเรื่องอย่างมีความสุข ถึงแม้จะมีเพียงข้อนี้ แต่ก็ถือว่าเก่งกว่าคนอื่นมากแล้ว!
กระทั่งสาวใช้รินน้ำชาจอกที่สาม เฉิงฉือเห็นว่าเวลาไม่เช้าแล้ว จึงส่งสัญญาณบอกมารดาว่าควรพักผ่อนได้แล้ว ฮูหยินผู้เฒ่ากัวถึงได้จบบทสนทนา ต่างคนต่างกลับห้องของตัวเองไป
โจวเสาจิ่นและฮูหยินผู้เฒ่ากัวพักอยู่ที่ห้องหลัก ฮูหยินผู้เฒ่ากัวอยู่ทางด้านตะวักออก ส่วนนางอยู่ทางด้านตะวันตก
พอเข้าประตูไป ชุนหว่านก็แอบหยิบถุงเงินส่งให้โจวเสาจิ่นดูถุงหนึ่ง “คุณหนูรอง หลงจู๊หวังผู้นั้นให้มาเจ้าค่ะ มีทั้งหมดห้าเหลี่ยง! ส่วนพวกปี้เถา ได้คนละสองเหลี่ยงเจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นลอบรู้สึกประหลาดใจ กล่าวขึ้นว่า “ให้แต่เงินหรือ ได้กล่าวอะไรหรือไม่”
“ไม่มีเจ้าค่ะ” ชุนหว่านกล่าว “ทางด้านโน้นของฮูหยินผู้เฒ่า พี่สาวปี้อวี้และคนอื่นๆ ต่างก็ได้รับกันหมดทุกคนเจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นช่วยคิดคำนวณให้หลงจู๊หวัง นี่ถือว่าใช้เงินไปเป็นจำนวนไม่น้อยเลย
นางครุ่นคิดพิจารณาครู่หนึ่ง กล่าวกับชุนหว่านว่า “ต้องบอกเรื่องนี้ให้ท่านน้าฉือทราบ หลงจู๊หวังผู้นี้ลงทุนมากเกินไปแล้ว!”
ไม่อย่างนั้นชุนหว่านย่อมไม่รู้สึกไม่สบายใจเช่นนี้ได้
ชุนหว่านพยักหน้า เดินไปยังห้องที่เฉิงฉือพักอยู่เป็นเพื่อนโจวเสาจิ่น
เฉิงฉือเพิ่งอาบน้ำสระผมเสร็จ จึงหยิบเสื้อคลุมที่อยู่ใกล้มือมาคลุม ภายใต้แสงตะเกียงเหลืองนวลนั้น เห็นได้ลางๆ ว่าเขามีรูปร่างดี ช่วงไหล่และหน้าอกกว้างผึ่งผาย
โจวเสาจิ่นถึงได้รู้สึกตัวว่าตนมาในเวลาที่ไม่เหมาะสมเท่าไร รีบก้มหน้าลง แล้วเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้เขาฟังหนึ่งรอบ
เฉิงฉือคิดไม่ถึงว่าหวังเสี่ยวจะลงทุนมากถึงเพียงนี้ กล่าวยิ้มๆ ว่า “เรื่องนี้ถือว่าข้าทราบเรื่องแล้ว ในเมื่อเขาให้มาแล้ว ก็ไม่ดีหากจะคืนกลับไปให้เขา ข้าจะระวังเอาไว้”
ดูแล้วตนก็ไม่ได้มาเสียเที่ยวซะทีเดียว
โจวเสาจิ่นโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง กลับถึงห้องแล้ว ก็หลับสนิทท่ามกลางกลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกกุ้ยฮวา
ส่วนเฉิงฉือเปิดหน้าต่างออก มือไขว้หลังยืนชมจันทร์อยู่ข้างหน้าต่างเพียงลำพังครู่หนึ่ง
ไหวซานก้าวเข้ามาด้วยฝีเท้าเร่งรีบ กระซิบกล่าวเสียงเบาว่า “ตรวจสอบดูแล้วขอรับ ไม่เพียงทางฝั่งของคุณหนูรองเท่านั้น แม้แต่ทางฝั่งของฮูหยินผู้เฒ่าทางโน้น และทางด้านชิงเฟิงหลั่งเย่ว์ หลงจู๊หวังก็ส่งไปให้ทุกคน มากสุดคือสิบเหลี่ยง เป็นของแม่นางหนานผิงกับแม่นางจี๋อิ๋งสาวใช้ข้างกายของท่าน น้อยสุดคือหนึ่งเหลี่ยง เป็นของบ่าวหญิงสูงวัยสองคนของฮูหยินผู้เฒ่า ส่วนพ่อบ้านฉินและคนอื่นๆ ส่งเพียงสุราท้องถิ่นไปให้สองขวดเท่านั้น เมื่อคำนวณดูแล้ว อย่างน้อยที่สุดเขาก็ใช้เงินไปเจ็ดถึงแปดสิบเหลี่ยง ส่วนเรื่องที่ว่าเงินจำนวนนี้เอาออกมาจากร้านตั๋วแลกเงินหรือของตัวเขาเองนั้น ต้องรออีกสองวันถึงจะตรวจสอบให้ชัดเจนได้ขอรับ”
เฉิงฉือไม่ได้กล่าวอะไร


VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน