ในหัวของเฉิงฉือมีเสียงดังหึ่งๆ โจวเสาจิ่นพูดอะไรอีกบ้างหลังจากนั้นเขาก็ไม่ได้ยินแล้ว
ถูกบังคับให้เลือก…เลือกด้วยตัวเอง…ผ่านมาหลายปีขนาดนี้ เขาไม่เคยมานั่งขบคิดถึงเรื่องนี้อย่างละเอียดมาก่อน
เป็นไปได้หรือไม่ว่าเพราะในจิตใต้สำนึกของเขานั้น เขารับรู้ว่าตน ถูกบังคับให้เลือก อยู่ตลอด ดังนั้นไม่ว่าต่อมาภายหลังเขาจะกลายเป็นคนที่แข็งแกร่งเพียงใด ไม่ว่าเฉิงซวี่จะประหวั่นเขาอย่างไร เขากลับปล่อยวางไม่ได้ นอกจากนี้ยิ่งเขาแข็งแกร่งมากขึ้น ความเดือดดาลในใจก็ยิ่งมีมากขึ้น ยิ่งเฉิงซวี่ประหวั่นเขามากขึ้น ความเกลียดในใจเขาก็ยิ่งฝังลึกมากขึ้น
บางครั้ง เขาถึงกับรู้สึกว่านี่เป็นความต้องการของเฉิงซวี่ กล่าวคือ เจ้ามีความสามารถมากขึ้นแล้วอย่างไร เจ้าเก่งกาจมากขึ้นแล้วอย่างไร เจ้ามีพรสวรรค์ทั้งบู๊และบุ๋นแล้วอย่างไร เจ้าเค้นสมองและความสามารถออกมาแล้วอย่างไร สุดท้ายก็สลัดโซ่ตรวนที่ข้าผูกติดอยู่บนร่างของเจ้าไม่พ้นอยู่ดี…
เป็นไปได้หรือไม่ว่าเพราะเหตุนี้ สุดท้ายเขาก็เลยยังเลือกที่จะจากไป?
เฉิงฉือใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวไปครู่หนึ่ง
กระทั่งได้ยินเสียงหวานเนิบที่แฝงเอาไว้ด้วยความกังวลอยู่หลายส่วนของโจวเสาจิ่นแว่วผ่านหู เขาถึงได้สติกลับคืนมา มองไปยังโจวเสาจิ่นที่อยู่เบื้องหน้า
โจวเสาจิ่นโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง กล่าวขึ้นด้วยใจที่ยังหวาดกลัวเล็กน้อยว่า “ท่านน้าฉือ เมื่อครู่ท่านเป็นอะไรไปหรือเจ้าคะ นัยน์ตาทั้งข้างมองค้างไม่ไหวติง ไม่ขยับเลยสักนิด ข้าพูดกับท่านท่านก็ไม่สนใจ ตะโกนเรียกท่านท่านก็ไม่ตอบ ทำเอาข้าตกใจเสียแทบแย่เจ้าค่ะ!”
“ไม่มีอะไร” เฉิงฉือกลับมามีท่วงท่าอบอุ่นดังเดิม กล่าวยิ้มๆ ว่า “เมื่อครู่ข้านึกถึงวิธีคำนวณทรายดูดวิธีหนึ่งที่ท่านผู้เฒ่าซ่งเอ่ยถึงก่อนหน้านี้…เจ้ารู้จักทรายดูดหรือไม่ บางครั้งยามฝนตก ทำให้ป่าเขาถูกชะล้างแตกกระจาย ทรายและหินบนเขาก็จะไหลลงมา ทำให้สิ่งมีชีวิตเบื้องล่างถูกฝังทั้งเป็นอยู่ในหินทราย ก่อนหน้านี้ข้าเคยสงสัยมาตลอดว่าเป็นเพราะป่าบนเขามีน้อยเกินไป ครั้งนี้ได้พบกับท่านผู้เฒ่าซ่ง ถึงได้ยืนยันข้อสงสัยในข้อนี้ของข้า ข้ากำลังคิดว่า จะหาวิธีให้ทางด้านอวี๋หลินปลูกต้นไม้ที่รอดชีวิตได้ง่ายจำพวกนั้นได้หรือไม่ นี่จะเป็นการช่วยยับยั้งการเกิดพายุทรายได้หรือไม่” ขณะที่เขากล่าว ก็หัวเราะขึ้นมา กล่าวต่อว่า “ข้าจะมาพูดเรื่องพวกนี้กับเจ้าไปเพื่ออันใด เจ้าไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้เสียหน่อย!”
จริงด้วย!
ท่านน้าฉือมาพูดเรื่องพวกนี้กับนางทำไม
เมื่อก่อนไม่ว่าท่านน้าฉือจะทำอะไรก็มักจะออกคำสั่ง ไม่เคยมีตอนใดที่จะมาแจกแจงให้นางฟังเช่นนี้มาก่อน
เมื่อครู่ท่านน้าฉือต้องกำลังคิดถึงเรื่องอื่นอยู่เป็นแน่ เพื่อบ่ายเบี่ยงและหลบเลี่ยงนาง ก็เลยใช้เรื่องทรายดูดมาเป็นข้ออ้าง
อย่างไรก็ตาม เมื่อครู่ท่านน้าฉือคิดเรื่องอะไรอยู่กันแน่นะ
น่าเสียดายที่ตั้งแต่ไหนแต่ไรมานางก็ไม่เคยเข้าใจความรู้สึกนึกคิดของท่านน้าฉือมาก่อน
โจวเสาจิ่นจึงเอ่ยถึงเรื่องเดิมขึ้นมาอีกครั้ง กล่าวขึ้นว่า “ท่านน้าฉือ ท่านให้พ่อบ้านฉินขึ้นฝั่งไปซื้อหวีสับให้ข้าได้หรือไม่เจ้าคะ”
คำพูดที่กล่าวไปเมื่อครู่ก็เพียงเป็นการแหย่นางเล่นเท่านั้น
ตนผิดคำสัญญากับนางไปแล้ว ความปรารถนาเพียงเล็กๆ น้อยๆ นี้จะไม่ทำให้นางได้อย่างไร
เฉิงฉือยิ้มพร้อมกับกำลังจะกล่าวรับปาก ก็มีเสียงประตูถูกเคาะอยู่ครู่หนึ่ง แล้วซ่งหมิ่นก็เดินเข้ามา “จื่อชวน เจ้าเสร็จเรียบร้อยหรือยัง ข้าให้อี๋จวินถือสุราไปที่ร้านมัดตับต้มลี่หยางร้านนั้นแล้ว…” ขณะที่เขากล่าวอยู่นั้น ทันใดนั้นก็พบว่าภายในห้องมีเด็กสาวเพิ่มมาผู้หนึ่ง อีกทั้งยังงดงามประหนึ่งไข่มุกแวววาวยามเช้า เมื่อตั้งใจมองอีกครั้ง ถึงได้พบว่าที่แท้ก็คือคุณหนูรองผู้นั้น นางและเฉิงฉือนั้นผู้หนึ่งนั่งส่วนอีกผู้หนึ่งยืนอยู่ ผู้หนึ่งเคร่งขรึมน่าเกรงขามส่วนอีกผู้หนึ่งน่ารักอ่อนหวาน ทว่าทำให้คนรู้สึกว่าช่างกลมกลืนกันอย่างยากจะอธิบายได้ ไม่มีความรู้สึกขัดหรือไม่เข้ากันเลย เขารู้สึกงงงันไปชั่วขณะหนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “นี่เกิดอะไรขึ้นหรือ จื่อชวน เจ้ามีธุระอยู่หรือ อีกประเดี๋ยวข้าค่อยมาหาเจ้าใหม่ดีหรือไม่”
“ท่านผู้เฒ่า ข้าเพียงมาถามท่านน้าฉือว่าพรุ่งนี้จะออกเดินทางเวลาใดเท่านั้นเจ้าค่ะ” โจวเสาจิ่นไม่รอให้เฉิงฉือเอ่ยปาก ก็กล่าวยิ้มๆ อย่างอ่อนหวานขึ้นมาเสียก่อน “ข้ากำลังจะออกไปพอดี ขอให้ท่านกับท่าน้าฉือเที่ยวให้สนุกนะเจ้าคะ!”
ขณะที่นางกล่าว ก็หันไปยอบกายให้เฉิงฉือกับซ่งหมิ่น
ซ่งหมิ่นชื่นชมในความเป็นเด็กดีและรู้ความของนางยิ่งนัก ใบหน้าเหี่ยวย่นนั้นยิ้มเต็มใบหน้า พยักหน้าให้โจวเสาจิ่น
ใบหน้าของโจวเสาจิ่นแต้มรอยยิ้มน้อยๆ เดินออกไปจากห้องโดยสารด้วยสายตามั่นคงไม่วอกแวก
จากนั้นก็ได้ยินเสียงของซ่งหมิ่นกล่าวขึ้นอย่างอดรนทนไม่ได้ดังมาให้ยินจากเบื้องหลังว่า “จื่อชวน เมื่อบ่ายเจ้าสัญญากับข้าเอาไว้แล้ว! วันนี้พวกเราไม่เมาไม่กลับ!”
เฉิงฉือลูบหน้าผาก นัยน์ตามีแววอับจนหนทางสายหนึ่งวาบผ่าน
เขาคิดแล้วคิดอีก ไม่ว่าอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าโจวเสาจิ่นจะพูดเช่นนี้กับเขาได้ จึงลืมไปว่าท่านผู้เฒ่าซ่งอาจปรากฏตัวออกมาได้ทุกเวลา…นอกจากตนจะไม่ได้อบรมสั่งสอนเด็กผู้นั้นแล้ว ในทางตรงกันข้ามกลับทำให้เด็กผู้นั้นขุ่นเคืองแทน
เดิมทีตนคิดว่าพรุ่งนี้จะหาเวลาสักวันให้พวกสตรีบนเรือได้ขึ้นฝั่งไปเดินเล่น ดูท่าทางของเด็กน้อยแล้วเกรงว่าคงไม่ซาบซึ้งกับมันแล้ว
ดูแล้วพรุ่งนี้คงได้แต่ต้องเปลี่ยนแผนแล้วล่วงหน้าไปเจิ้นเจียงเลยก็แล้วกัน
เด็กผู้นั้นไม่ใช่คนเอาแต่ใจเป็นใหญ่ ไม่แน่ว่าอีกสองวันก็คงจะหายแล้ว เขาค่อยจัดให้พวกนางไปเดินเล่นบนฝั่งอีกครั้ง เรื่องนี้ก็ปล่อยให้ผ่านไปดังฟ้าหลังฝนก็แล้วกัน
พูดถึงเรื่องซื้อหวีสับ ดูทีว่าคงต้องมอบหมายให้ฉินจื่อผิงไปซื้อให้แล้วจริงๆ
เมืองฉางโจวเป็นแหล่งผลิตหวีสับ ร้านสาขาหลักที่ผลิตหวีสับส่วนใหญ่อยู่ที่เมืองฉางโจว เพื่อสร้างความแตกต่างระหว่างสาขาหลักกับสาขาย่อย ทุกๆ ปีร้านสาขาหลักจะผลิตหวีสับออกมาเป็นพิเศษหนึ่งชุดที่ไม่อาจหาซื้อได้จากที่อื่นออกมา หากกล่าวว่าเป็นหวีสับที่ซื้อให้ฮูหยินผู้เฒ่ากวน เช่นนั้นไปเลือกซื้อสักชุดจากร้านสาขาหลักเหล่านั้นในเมืองฉางโจวน่าจะเหมาะสมที่สุด
นี่นับว่าเป็นการผลักก้อนหินมาทับเท้าตัวเองหรือไม่นะ
เฉิงฉือทอดถอนหายใจ กล่าวกับท่านผู้เฒ่าซ่งว่า “ไปกันเถิด สองวันนี้ลำบากท่านแล้ว ข้าจะดื่มเป็นเพื่อนท่านสองจอกให้ท่านหายจากความเหน็ดเหนื่อยเองขอรับ”
ท่านผู้เฒ่าซ่งพยักหน้าไม่หยุด
โจวเสาจิ่นโกรธจนหน้าดำหน้าแดง
นางเดินกลับห้องโดยสารไปอย่างขุ่นเคือง
ไม่ยุติธรรมเลยนางอุตส่าห์เชื่อใจท่านน้าฉือถึงเพียงนี้ แต่ท่านน้าฉือกลับพูดกับนางไปอย่างนั้นโดยไม่ใส่ใจ พูดอะไรทำนองว่าต้องเร่งไปไปเจิ้นเจียงเพื่อพบไต้เท่าเสิ่นที่เก่งเรื่องขุดลอกแม่น้ำผู้นั้น จนทำให้นางที่ปรารถนาจะให้ฉินจื่อผิงช่วยไปซื้อหวีสับมาให้รู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างยิ่ง แต่ความจริงแล้วเขากับท่านผู้เฒ่าซ่งนัดแนะกันตั้งแต่เช้าแล้วว่าจะไปร่ำสุรากัน
ตนยังถูกเขาอบรมสั่งสอนจนตกตะลึงไปหมด
หากไม่ใช่เพราะท่านผู้เฒ่าซ่งโพลงเข้ามาโดยไม่ตั้งใจ นอกจากนางจะถูกท่านน้าฉือขายแล้วเกรงว่ายังจะช่วยท่านน้าฉือนับเงินด้วยกระมัง!
ท่านน้าฉือทำเกินไปแล้ว!
ทำเกินไปแล้วจริงๆ!
เขาก็เพียงแค่หยิบเอาคำขอร้องของตนไปแล้วช่วยซื้อหวีสับเองมิใช่หรือ
นางจะไม่ขอร้องเขาแล้ว!
ให้เขารู้ว่าต่อให้ไม่มีเขานางก็ทำได้!

VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน