นี่ถึงได้ทำให้ฮูหยินซ่งรู้ตัวว่าตัวเองอยู่ที่ซอยจิ่วหรูมาเกือบจะหนึ่งเดือนแล้ว
นางรีบสั่งให้หมัวมัวข้างกายจัดเก็บข้าวของ แล้วไปกล่าวอำลาฮูหยินผู้เฒ่ากัว
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวมิได้รั้งนางเอาไว้ ได้แต่จับมือนางเอาไว้แล้วกำชับครั้งแล้วครั้งเล่าว่าให้นางระมัดวังตัวระหว่างเดินทาง หากมีเวลาว่าง ก็ให้พาลูกมาพักผ่อนที่เมืองจินหลิง น้ำเสียงให้ความเป็นกันเองยิ่งนัก
ฮูหยินซ่งน้ำตาไหลพรากประหนึ่งฝนตกอย่างห้ามไม่อยู่
ช่วงที่ได้อยู่กับฮูหยินผู้เฒ่ากัวนี้ ฮูหยินผู้เฒ่ากัวไม่เพียงสอนนางเกี่ยวกับเรื่องเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยต่างๆ ของตระกูลชนชั้นสูงไปมากมายเท่านั้น ยังสอนนางเกี่ยวกับการปฏิบัติตัวกับผู้คนในวงสังคม ทำให้นางได้รับประโยชน์ไปไม่น้อย
ฮูหยินซ่งสะอื้นไห้ขณะพยักหน้ารับ กล่าวกับฮูหยินผู้เฒ่ากัวว่า “ท่านต้องรักษาสุขภาพให้ดี หากได้ไปจิงเฉิงต้องบอกข้าด้วยนะเจ้าคะ ให้ข้าได้จัดงานเลี้ยงต้อนรับท่าน”
“วางใจเถิด” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยิ้มร่าพลางกล่าว “หากข้าไปจิงเฉิง จะไปรบกวนเจ้าอย่างแน่นอน”
ส่วนซ่งเซินพอรู้ว่าตัวเองใกล้จะต้องกลับจิงเฉิงแล้ว ก็รีบวิ่งไปหาโจวเสาจิ่นที่เรือนหว่านเซียง กอดโจวเสาจิ่นเอาไว้ไม่ยอมปล่อยมือ “พี่สาวโจวๆ ท่านกลับจิงเฉิงพร้อมกับข้าเถิด! หลังจากฉลองปีใหม่แล้ว ข้าค่อยมาส่งท่าน”
“นั่นย่อมไม่ได้” โจวเสาจิ่นลูบศีรษะของเขา กล่าวยิ้มๆ ว่า “เจ้าอยากฉลองปีใหม่กับท่านพ่อของเจ้า ข้าเองก็อยากฉลองปีใหม่กับพี่สาวของข้าเหมือนกัน! รอให้วันไหนที่พี่สาวมีเวลา จะไปเยี่ยมเจ้าที่จิงเฉิง!”
ซ่งเซินดวงตาลุกวาว ต้องเกี่ยวก้อยทำสัญญากับโจวเสาจิ่น กล่าวอีกว่า “เกี่ยวก้อยสัญญากันแล้ว อีกหนึ่งร้อยปีก็ไม่มีวันเปลี่ยน!”
โจวเสาจิ่นยิ้มพลางเกี่ยวก้อยกับเขา
ซ่งเซินถึงได้เดินจากไปอย่างวางใจ
โจวเสาจิ่นยิ้มพลางส่ายศีรษะขณะมองหลังของซ่งเซินที่จากไปด้วยความยินดี
หวงอี๋จวินที่มารับฮูหยินซ่งกลับถูกท่านผู้นำตระกูลจวนรองเรียกตัวไปสอบถาม ส่วนเรื่องที่ว่าพูดคุยอะไรกันนั้น ทุกคนต่างไม่ทราบ แต่จากท่าทีของหวงอี๋จวินที่ตอนเข้าไปดูประหม่าและหวั่นเกรง แต่ตอนออกมาดูมีความสุขและมีชีวิตชีวาแล้วก็พอจะมองออกว่า เฉิงซวี่คงจะกล่าวชื่นชมเขาเป็นแน่
โจวเสาจิ่นกังวลใจเล็กน้อย จึงไปหาเฉิงฉือ “ท่านว่า เช่นนี้จะดีหรือเจ้าคะ”
เฉิงฉือกำลังดูบัญชีอยู่
ฟังนางพูดไปด้วย ดีดลูกคิดคำนวณไปด้วย
เสียงลูกคิดที่ถูกดีดดังไม่หยุด ตาของเขาดูอยู่ที่สมุดบัญชีโดยตลอด ตอนที่โจวเสาจิ่นพูดอยู่นั้นก็ลอบสงสัยว่าเฉิงฉืออาจจะไม่ได้ฟังที่นางพูด
แต่พอเสียงของนางจบลง เฉิงฉือก็กล่าวขึ้นว่า “มีอะไรไม่ดีอย่างนั้นหรือ หากข้ากล่าวชมเจ้าต่อหน้าว่าเจ้าเป็นคนมีความรู้และมีพรสวรรค์มาก การลงสนามสอบในปีหน้าจะต้องสอบผ่านได้ยศจวี่เหรินอย่างแน่นอน เจ้าก็เลยเชื่อ แต่นั่นจะเป็นไปได้หรือ”
โจวเสาจิ่นกล่าวแย้งว่า “มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้หรือเจ้าคะ มีคนมากมายบนโลกใบนี้ที่กล้าคิดแต่ไม่กล้าลงมือทำก็เพราะคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้…”
เฉิงฉือเงยหน้าขึ้น ชำเลืองมองอย่างเย็นชาครั้งหนึ่ง จากนั้นก็ก้มหน้าดูบัญชีของเขาต่อ กล่าวว่า “ข้อแรกเจ้าเป็นสตรี ข้อถัดมาเจ้าไม่ได้เป็นแม้แต่ซิ่วไฉ แล้วจะเข้าร่วมการสอบขุนนางช่วงสารทฤดูได้อย่างไร…เหตุใดถึงมีคนถูกหลอกมากมายขนาดนั้น นั่นก็เพราะว่ามีคนที่ไม่ใช้สมองขบคิดเช่นเจ้าอยู่มากเกินไป”
ตอนที่เขาพูดนั้นมืออีกข้างก็ยังคงดีดลูกคิดคำนวณอยู่เช่นเดิม แม้แต่เสียงของลูกคิดก็ยังดังอย่างเป็นระเบียบไม่ยุ่งเหยิงเลยแม้แต่น้อย
โจวเสาจิ่นรู้สึกหดหู่ใจยิ่งนัก กล่าวขึ้นว่า “พวกเราพูดเรื่องของหวงอี๋จวินอยู่ มิใช่พูดเรื่องของข้าเสียหน่อยเจ้าค่ะ!”
“ก็เหตุผลเดียวกัน” เฉิงฉือพลิกหน้าสมุดบัญชี กล่าวเรียบๆ ว่า “ฉะนั้นเจ้าจึงไม่จำเป็นต้องไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ ในเมื่อเขายินดีเชื่อก็ให้เขาเชื่อไปก็ดีแล้ว ท่านผู้นำตระกูลจวนรองมิใช่เทพเซียน ที่จะชี้กรวดเป็นทองได้!”
นี่ก็จริง!
โจวเสาจิ่นอับอาย รู้สึกว่าตัวเองยุ่งไม่เข้าเรื่องจริงๆ
นางกล่าว “ความจริงแล้วข้ามาดูว่าชุดฤดูใบไม้ผลิที่แม่นางหนานผิงทำอยู่เป็นอย่างไรบ้างแล้ว แต่ได้พบท่านโดยบังเอิญเสียก่อน จึงอดไม่ได้ต้องถามท่านสักหน่อย ในเมื่อท่านคิดว่าไม่มีปัญหา เช่นนั้นข้าก็วางใจแล้วเจ้าค่ะ”
พบเขาโดยบังเอิญ…นี่ช่างเป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ ถึงกับได้พบเขาโดยบังเอิญในห้องหนังสือของเขาได้…
เฉิงฉือมือสั่น เสียงดีดลูกคิดยุ่งเหยิง
โจวเสาจิ่นประหลาดใจยิ่งนัก ดวงตาเบิกโพลงกล่าวเสียงดังว่า “ท่านน้าฉือ ลูกคิดของท่านยุ่งเหยิงไปหมดแล้วเจ้าค่ะ!”
ภายในห้องพลันเงียบงันไปหลายลมหายใจ ถึงได้มีเสียงดีดลูกคิดและเสียงที่เย็นชาทว่าดูสงบของเฉิงฉือดังขึ้นอีกครั้ง “เจ้าบอกว่าพบข้าโดยบังเอิญมิใช่หรือ เช่นนั้นตอนนี้เจ้าคงไม่มีเรื่องอะไรแล้วกระมัง”
“ย่อมไม่ใช่เจ้าค่ะ!” ใบหูของโจวเสาจิ่นแดงเถือก ครุ่นคิดครู่หนึ่ง กระซิบกล่าวเสียงเบาว่า “ท่านน้าฉือ ท่านว่า ซื่อจื่อของเหลียงกั๋วกงผู้นั้นกับตระกูลหลิวมาดองกันได้อย่างไรหรือเจ้าคะ ตอนนี้ชื่อเสียงของตระกูลหลิวย่ำแย่ยิ่งนัก”
เฉิงฉือเงียบ
โจวเสาจิ่นกระดากอาย
ตนมาถามเรื่องเช่นนี้กับท่านน้าฉือ ไม่ค่อยเหมาะสมจริงๆ
นางรีบกล่าวอธิบายว่า “ท่านน้าฉือ ข้าสงสัยจริงๆ เจ้าค่ะ แต่ไม่กล้าถามผู้อื่น ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้พบท่านในวันนี้ ก็เลย…”
“ก็เลยพลั้งปากถามไป!” เฉิงฉือกล่าวต่อคำพูดของนางไปอย่างเฉยชา
ข้ออ้างนี้ออกจะดูแย่ไปสักหน่อย
อย่างไรก็ตาม นำมาใช้เป็นข้ออ้างได้ก็พอแล้ว
โจวเสาจิ่นรีบพยักหน้ารับ
เฉิงฉือกล่าว “แล้วชื่อเสียงของจวนเหลียงกั๋วกงดีมากอย่างนั้นหรือ”
นี่หมายความว่าอย่างไร
โจวเสาจิ่นไม่เข้าใจ
แต่เฉิงฉือก้มหน้าลงไปดูบัญชีเสียแล้ว
โจวเสาจิ่นได้แต่กล่าวว่า “เช่นนั้นข้าไปหาแม่นางหนานผิงแล้วเจ้าค่ะ” อย่างเคืองๆ จากนั้นรีบวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
เฉิงฉือมองตัวเลขบนลูกคิดครู่หนึ่ง แล้วก็มองสมุดบัญชีในมือครู่หนึ่ง จากนั้นเสียงปิดสมุดบัญชีดังขึ้นเสียงหนึ่ง แล้วเอนตัวอยู่บนเก้าอี้มีเท้าแขน
คำนวณมาครึ่งค่อนวัน กลับถูกคำพูดไม่กี่ประโยคของเด็กผู้นั้นรบกวนจนได้…
เขาตะโกนเรียกไหวซานด้วยอารมณ์กรุ่นโกรธเล็กน้อย กล่าวขึ้นว่า “ต่อไปเวลาข้าคำนวณบัญชีเจ้าอย่าให้ผู้อื่นเข้ามาอีก!”


VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน