โจวเสาจิ่นกลับเรือนเจียซู่ตามลำพัง
มีเด็กหนุ่มสวมชุดเผาจื่อผ้าไหมลู่โจวสีเขียวนกแก้วผู้หนึ่งยืนสั่งการบ่าวชายเด็กสองสามคนขนย้ายหีบสัมภาระอยู่บนขั้นบันไดหน้าประตูทางเข้า
นางเพ่งตามอง ที่แท้เด็กหนุ่มผู้นั้นก็คือซานเป่าบ่าวข้างกายของเฉิงอี้นั่นเอง
โจวเสาจิ่นประหลาดใจเป็นอย่างมาก กล่าวขึ้นว่า “ซานเป่า เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร แล้วพี่ชายอี้เล่า มิใช่บอกว่าพรุ่งนี้พวกเจ้าถึงจะกลับมาหรอกหรือ”
“คุณหนูรอง!” ซานเป่ารีบก้าวออกมาคารวะนาง จากนั้นยืดตัวตรงแล้วกล่าวอย่างยิ้มแย้มว่า “ตระกูลเหอไม่วางใจให้คุณชายรองกลับเมืองจินหลิงตามลำพัง จึงตั้งใจจะให้พ่อบ้านใหญ่ที่มามอบของขวัญปีใหม่ร่วมทางมาด้วย แต่คุณชายรองคิดถึงนายหญิงผู้เฒ่า นายท่านใหญ่ ฮูหยิน คุณชายใหญ่และคุณหนูทั้งสองท่านเป็นอย่างมาก ก็เลยจ้างรถม้าสองคันแล้วเร่งกลับมา นี่ก็เพิ่งมาถึง ตอนนี้คุณชายรองไปคารวะนายหญิงผู้เฒ่าแล้วขอรับ”
โจวเสาจิ่นตะลึงงัน กล่าว “พวกเจ้า…พวกเจ้าแอบหนีกลับมาหรือ”
“เปล่าขอรับๆ” ซานเป่าโบกมือปฏิเสธเป็นพัลวัน กล่าว “พวกข้าจะทำเรื่องเช่นนั้นได้อย่างไร! พวกข้าทิ้งจดหมายให้ฮูหยินใหญ่ตระกูลเหอเอาไว้แผ่นหนึ่งแล้วขอรับ”
โจวเสาจิ่นร้อนรนจนเหงื่อท่วมศีรษะ มุ่งหน้าตรงไปที่เรือนหลักอย่างกระวนกระวาย
เพิ่งจะก้าวขึ้นบันได นางก็ได้ยินเสียงดุด่าของฮูหยินใหญ่เหมี่ยนดังขึ้น “เจ้านี่มันไอ้คนไม่รักดี! นี่เรียนหนังสืออะไรกัน ถึงกับแอบหนีกลับมาเช่นนี้! เจ้าจะให้ฮูหยินใหญ่ตระกูลเหอคิดอย่างไร เจ้ายังมีหน้ามาพูด…”
โจวเสาจิ่นรีบเลิกผ้าม่านขึ้น
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนกำลังถือไม้ปัดขนไก่ไล่ตีเฉิงอี้อยู่!
พอเฉิงอี้เห็นโจวเสาจิ่นก็เสมือนกับเห็นฟางช่วยชีวิตเส้นสุดท้ายก็ไม่ปาน รีบวิ่งมาหลบอยู่ข้างหลังโจวเสาจิ่นอย่างรวดเร็ว กล่าวกับฮูหยินใหญ่เหมี่ยนอย่างเจ็บปวดว่า “ไม่ใช่ว่าเป็นเพราะข้าไม่ได้เจอท่านกับท่านย่ามานานก็เลยคิดถึงหรอกหรือ เหตุใดท่านถึงลงมือหนักถึงเพียงนี้ ท่านดู ท่านตีจนแขนของข้าแดงไปหมดแล้ว”
ขณะที่เขากล่าว ก็หมายจะดึงแขนเสื้อขึ้นไปด้วย
โจวเสาจิ่นเบี่ยงตัวหมายจะหลบออกไป
เฉิงอี้กลับดึงนางเอาไว้ กล่าวขึ้นว่า “เหตุใดเจ้าถึงไร้น้ำใจเพียงนี้! นึกถึงตอนนั้นที่พวกเฉิงจวี่ล้อเลียนเจ้า ข้ายังช่วยตีพวกเขาให้เจ้าเลย!”
“เจ้ายังไปต่อยตีกับผู้อื่นมาด้วยหรือ!” ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนโมโหจนจะเสียสติอยู่แล้ว แต่ก็ไม่อาจตีบุตรชายต่อหน้าโจวเสาจิ่นได้ กล่าวคือ ถ้าหากเรื่องงานแต่งระหว่างโจวเสาจิ่นกับบุตรชายตกลงกันสำเร็จ ต่อไปบุตรชายจะยังมีหน้าไปกล่าวอะไรต่อหน้าโจวเสาจิ่นได้อีก ไม้ปัดขนไก่ในมือนางชี้ไปที่เฉิงอี้ทว่ากล่าวกับโจวเสาจิ่นว่า “เสาจิ่น เจ้ารีบหลบออกไป หากวันนี้ข้าไม่ตีเขาให้หลาบจำ เขาก็คงไม่รู้ว่าความผิดของตัวเองอยู่ที่ใด!”
เฉิงอี้กลับดันโจวเสาจิ่นไปยังเบื้องหน้าของมารดา ร้องขึ้นว่า “ท่านแม่ ท่านตีเลย! ท่านตีข้าให้ตายไปเลยก็แล้วกัน! ข้าเร่งกลับมาหาท่านตลอดทั้งคืน ท่านยังจะทำกับข้าเช่นนี้อีกหรือขอรับ ตกลงข้าเป็นลูกแท้ๆ ของท่านหรือไม่ เช่นนั้นท่านก็โยนข้าทิ้งออกไปนอกถนนเลยก็แล้วกัน ข้าจะได้ไม่ต้องเห็นท่านปวดใจเช่นนี้!”
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนไม่รู้จะพูดอะไรดีแล้ว
นางกล่าวไม่หยุดว่า “เสาจิ่น เจ้ารีบหลบออกไปๆ!”
โจวเสาจิ่นถูกพวกเขาสองแม่ลูกจับกั้นอยู่ตรงกลางไม่ว่าจะเลือกซ้ายหรือขวาก็ยากทั้งสิ้น ถูกดันไปมาจนเวียนหัวไปหมด
มีเสียงเคร่งเครียดของฮูหยินผู้เฒ่ากวนดังขึ้นภายในห้อง “นี่พวกเจ้าทำอะไรกัน จะปีใหม่แล้วก็ยังไม่สงบเสงี่ยมกันอีก”
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนรีบวางไม้ปัดขนไก่ลง เอ่ยเสียงหนึ่งอย่างนอบน้อมว่า “ท่านแม่”
ส่วนเฉิงอี้วิ่งไปกอดแขนฮูหยินผู้เฒ่ากวนเอาไว้ “ท่านย่าๆ ข้าคิดถึงท่านยิ่งนัก! ช่วงนี้ท่านเป็นอย่างไรบ้าง ได้ยินว่าที่ผ่านมาท่านไปจุดธูปไหว้พระที่วัดกันเฉวียน ยังจุดตะเกียงฉางหมิงให้ข้าด้วย ขอบคุณมากขอรับท่านย่า! ข้ารู้ว่าบ้านหลังนี้ท่านคือคนที่รักข้ามากที่สุด”
“พูดอะไรเลอะเทอะ!” ฮูหยินผู้เฒ่ากวนจ้องเฉิงอี้ด้วยใบหน้านิ่วคิ้วขมวด ทว่าความกรุ่นโกรธบนใบหน้ากลับลดน้อยลงไปไม่น้อยแล้ว
เฉิงอี้กล่าวด้วยใบหน้าทะเล้นว่า “ท่านย่า ที่ข้าพูดมาล้วนเป็นความจริงจากใจทั้งนั้น! ข้ารู้ว่าข้าผิดไปแล้ว ข้าไม่ควรหนีกลับมาคนเดียวเช่นนี้ แต่ถึงอย่างไรข้าก็กลับมาแล้ว อีกทั้งใกล้จะถึงปีใหม่แล้ว ท่านพูดกับท่านแม่ข้าให้หน่อยนะขอรับ ให้นางไม่ต้องดุด่าข้าแล้ว ข้ารับปากว่าต่อไปจะปรับปรุงตัวอย่างแน่นอน ดีหรือไม่ขอรับ”
เขาออดอ้อน
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนกลับกล่าวว่า “เจ้าก็รู้ด้วยหรือว่าเจ้าผิดไปแล้ว! อย่างอื่นล้วนไม่กล่าวถึงแล้ว ข้าได้ให้พ่อบ้านเดินทางไปผูโข่วแล้ว ต้องรอดูว่าจะเร่งไปแจ้งข่าวได้ทันก่อนที่ตระกูลเหอจะพลิกแผ่นดินตามหาเจ้าหรือไม่ ส่วนเจ้า รีบไปคุกเข่าที่หอบรรพชนให้ข้าเดี๋ยวนี้”
“ท่านย่า!” เฉิงอี้จับมือของฮูหยินผู้เฒ่ากวนเอาไว้ไม่ยอมปล่อย
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนกล่าว “เจ้าไม่ไปตอนนี้ก็ได้ รอให้พ่อของเจ้ากลับมา คงจะไม่แค่ให้คุกเข่าที่หอบรรพชนเป็นแน่!”
เฉิงอี้ได้ยินแล้วก็ตัวสั่น รีบกล่าวว่า “ข้าไปแล้วขอรับๆ!”
แต่เขาพูดไปด้วย อีกด้านหนึ่งก็ส่งสายตาให้โจวเสาจิ่นไปด้วย ส่งสัญญาณให้นางช่วยเหลือเขาสักครั้ง
โจวเสาจิ่นเพียงทำเป็นมองไม่เห็น
นิสัยนี้ของเฉิงอี้หากทำผิดแล้วไม่มีใครสั่งสอนเขา เขาก็จะไม่เก็บมาใส่ใจ ต่อไปอาจจะทำผิดซ้ำอีก
“เช่น…เช่นนั้นข้าไปเปลี่ยนชุดก่อนนะขอรับ…” เฉิงอี้ไม่มีทางเลือก ได้แต่ยอมจำนน
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนพยักหน้า ให้ซื่อเอ๋อร์ไปส่งเฉิงอี้ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนสะอื้นไห้เบาๆ ขึ้นมา พลางกล่าว “ข้าเลี้ยงตัวที่ทำให้ผู้อื่นต้องเป็นกังวลใจเช่นนี้ขึ้นมาได้อย่างไร!”
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนกล่าว “ยังดีที่ยังมีพริกอีกต้นที่ยังเผ็ดอยู่ ไม่อย่างนั้นเจ้าร้องไห้ไปก็ไม่มีประโยชน์”
ที่ฮูหยินผู้เฒ่ากวนกล่าวถึงคือยังมีเฉิงเก้าที่ยอดเยี่ยม ไม่ทำให้ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนต้องกังวลใจ
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนจึงรู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อย
เมื่อถึงเวลาจุดตะเกียงยามค่ำ เฉิงเหมี่ยนที่ได้รับข่าวแล้วก็สั่งสอนเฉิงอี้อย่างรุนแรงไปครั้งหนึ่ง แต่เห็นว่าใกล้จะถึงปีใหม่แล้ว และเฉิงอี้เองก็กำลังคุกเข่าสำนึกผิดอยู่ที่หอบรรพชน เขาเองก็ไม่ควรว่าอะไรให้มากอีก จึงสั่งบ่าวรับใช้ภายในบ้านว่า “ไม่ว่าใครก็ไม่ได้รับอนุญาตให้นำอาหารไปให้เขาอย่างเด็ดขาด ให้เขาทนหิวอยู่เช่นนั้นไป เมื่อใดที่รู้สำนึกดีชั่วแล้ว ค่อยลุกขึ้นมา”


VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน