โจวชูจิ่นมองไปรอบๆ หีบสัมภาระเล็กใหญ่สี่สิบกว่าหีบในห้อง กล่าวขึ้นอย่างเหนื่อยอ่อนว่า “ยังตกหล่นอะไรไปอีกหรือไม่” น้ำเสียงเศร้าสร้อยยิ่งนัก
โจวเสาจิ่นพอจะเข้าใจอารมณ์ความรู้สึกของพี่สาว
ชาติก่อนถึงแม้ตระกูลเฉิงจะสร้างความเจ็บปวดให้นางเช่นนั้น แต่ตอนที่นางหนีออกจากตระกูลเฉิงก็ยังยืนมองซอยจิ่วหรูอยู่ในความมืดเป็นเวลานาน
“ไม่เป็นไรนะเจ้าคะ!” โจวเสาจิ่นกล่าวปลอบพี่สาวเสียงอ่อนโยน “อยู่ใกล้กันแค่นี้ หากมีอะไรตกหล่นถึงเวลาค่อยให้ภรรยาของหม่าฟู่ซานกลับมาเอาก็ได้เจ้าค่ะ”
มิใช่ว่าจะไม่ได้กลับมาอีกเลยตลอดชีวิตเสียหน่อย!
ชุนหว่านเข้ามารายงานว่า “แม่นางปี้อวี้ของเรือนหานปี้ซานมา บอกว่าช่วงนี้มีเรื่องให้ต้องทำมาก เกรงว่าพรุ่งนี้จะมาส่งท่านไม่ได้ จึงมาคารวะท่านสักครั้งก่อนไปเจ้าค่ะ”
“เหตุใดนางต้องเกรงใจขนาดนี้ด้วย” โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ เห็นพี่สาวยังมีสีหน้าเหนื่อยล้าอยู่หลายส่วน จึงกล่าวกับโจวชูจิ่นว่า “ท่านพี่ ข้าจะไปดูสักหน่อย ท่านกลับห้องไปพักผ่อนเถิดเจ้าค่ะ! พรุ่งนี้ยังต้องไปคารวะท่านยายแต่เช้าตรู่อีก ท่านยายต้องมีเรื่องอยากคุยกับท่านมากมายเป็นแน่เจ้าค่ะ”
ชาติก่อน ท่านยายกอดพี่สาวเอาไว้ในอ้อมกอดพร้อมกับคุยกับพี่สาวไปด้วยน้ำตานองหน้าไปทั้งเช้า
โจวชูจิ่นยิ้มพลางพยักหน้าเห็นด้วย
โจวเสาจิ่นเดินไปที่ห้องหนังสือ
ปี้อวี้มองชุนหว่านครั้งหนึ่ง ทำท่าจะพูดแต่ก็หยุดไป
โจวเสาจิ่นจึงให้ชุนหว่านออกไป
ปี้อวี้จึงขยับเข้าใกล้โจวเสาจิ่นแล้วกระซิบตรงข้างหูนางครู่หนึ่ง
โจวเสาจิ่นเบิกดวงตาโพลง ผ่านไปครู่ใหญ่แล้วก็ยังไม่ได้สติกลับมา
ท่านยายกับท่านป้าใหญ่ต้องการให้นางกับพี่ชายอี้…นี่ นี่จะเป็นไปได้อย่างไร
นางคิดกับพี่ชายอี้เสมือนเป็นพี่ชายแท้ๆ ของตัวเอง ไม่สิ ตั้งแต่ย้อนเวลากลับมา ก็รู้สึกว่าเขาเป็นน้องชายของตัวเองไปเสียแล้ว…นางจะแต่งให้พี่ชายอี้ได้อย่างไร นอกจากนี้พี่ชายอี้จะคิดหรือจะทำอะไร ก็ไปด้วยกันกับนางไม่ได้สักอย่าง มิใช่ว่าต่อไปนางจะต้องตามเก็บกวาดความวุ่นวายอยู่ข้างหลังให้เขาไปตลอดชีวิตหรอกหรือ นาง…นางไหนเลยจะมีความสามารถนั้นกัน!
โจวเสาจิ่นคิดๆ แล้วก็รู้สึกว่าอารมณ์หนักอึ้งขึ้นมาหลายส่วน
นางจับมือของปี้อวี้เอาไว้แน่น รีบกล่าวว่า “ขอบใจเจ้ามาก หากไม่ได้เจ้า ข้าคงถูกหลอกอยู่ในกลองไปแล้ว! บุญคุณของท่านยายกับท่านป้าใหญ่ข้าต้องตอบแทนเป็นแน่ แต่หากให้ข้าตอบแทนท่านยายกับท่านป้าใหญ่ด้วยวิธีนี้ ข้า…ข้าทำไม่ได้จริงๆ!”
ปี้อวี้คิดไม่ถึงว่าเรื่องราวจะไม่เป็นเหมือนกับที่นางคิดเอาไว้เลยแม้แต่นิดเดียว
โจวเสาจิ่นกล่าวออกมาจากใจจริงว่าไม่เห็นด้วยกับการหมั้นหมายในครั้งนี้
กล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกับนายท่านสี่คิดถูกแล้ว!
ปี้อวี้รู้สึกโล่งราวกับได้ปลดภาระอันหนักอึ้งออกไป กระซิบกล่าวยิ้มๆ ว่า “คุณหนูรองไม่ตำหนิที่ข้าปากมาก็พอแล้วเจ้าค่ะ ส่วนเรื่องนี้ ท่านไปหารือกับใต้เท้าโจวจะดีกว่า! อย่าให้กลายเป็นว่าสุดท้ายต้องหมางใจกับญาติพี่น้อง ความรักที่มีมาตลอดหลายปีจะหายไปในพริบตา!”
“ขอบใจมากๆ!” โจวเสาจิ่นกล่าวขอบคุณปี้อวี้อีกครั้ง แล้วส่งปี้อวี้ออกไปด้วยตัวเอง
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น โจวชูจิ่นเห็นสีหน้าของโจวเสาจิ่นไม่ค่อยดีนัก ถามนางยิ้มๆ ว่า “เมื่อวานปี้อวี้คุยอะไรกับเจ้าหรือ”
“อ้อ!” โจวเสาจิ่นปกปิดด้วยการก้มหน้าลงแล้วคีบหมั่นโถวทอดมาชิ้นหนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “อยากรู้ว่าข้ากลับไปแล้วจะได้กลับมาอีกหรือไม่เจ้าค่ะ”
โจวชูจิ่นถามนาง “แล้วเจ้าคิดว่าอย่างไร”
นี่นับเป็นครั้งแรกที่พวกนางสองพี่น้องพูดถึงเรื่องนี้อย่างเป็นทางการเช่นนี้
โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้าคิดว่าหลังจากปักปิ่นแล้วข้าจะตามไปอยู่เป่าติ้งกับท่านพ่อ ส่วนก่อนหน้านั้นก็อยู่กับท่านยายไปก่อน จะได้ตอบแทนบุญคุณท่านด้วยเจ้าค่ะ”
โจวชูจิ่นไม่แสดงความเห็นอะไร
เรื่องนี้ต้องหารือกับบิดา แต่บิดากลับยังไม่เอ่ยถึงเรื่องที่ว่าจะให้น้องสาวไปอยู่ที่ไหน หากไม่ใช่เพราะยังตัดสินไม่ได้ก็คงเป็นเพราะมีแผนการอย่างอื่น หรือไม่ก็คงรอให้หลี่ซื่อมาแล้วค่อยคุยกันอีกที
นางเปลี่ยนหัวข้อสนทนา พูดถึงเรื่องดอกไม้พวกนั้นขึ้นมา “ฤดูใบไม้ผลิเป็นช่วงผลัดเปลี่ยนกระถางพอดี เอากลับไปด้วยดีกว่า หากเจ้าได้กลับมาที่ซอยจิ่วหรูอีก ค่อยนำกลับมาด้วยก็ได้”
หากนางกลับมาที่ซอยจิ่วหรูอีก เกรงว่าคงต้องอยู่ยาวเสียแล้ว
โจวเสาจิ่นขานรับยิ้มๆ หันไปยื่นมือให้เสวี่ยฉิว
เสวี่ยฉิวกระโจนเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของนาง
นางลูบขนของเสวี่ยฉิวเบาๆ กล่าวว่า “พวกเราจะได้กลับบ้านกันแล้ว!”
เสวี่ยฉิวเห่า บ๊อกบ๊อก สองครั้งอย่างไม่เข้าใจอะไรทั้งสิ้น
***
เหมือนกับชาติที่แล้ว ช่วงเช้าของวันตรุษเล็กวันนั้น ฮูหยินผู้เฒ่ากวนจับมือของโจวชูจิ่นเอาไว้พูดคุยกันเป็นเวลานาน ตอนที่ออกมากินข้าวร่วมกันนั้น นัยน์ตาของฮูหยินผู้เฒ่ากวนและโจวชูจิ่นต่างแดงก่ำ สีหน้าเศร้าโศกยิ่งนัก ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนเกลี้ยกล่อมไปกว่าครึ่งค่อนวัน ฮูหยินผู้เฒ่ากวนถึงได้เก็บความโศกเศร้าเอาไว้ หลังจากที่ทุกคนรับประทานอาหารกันอย่างมีความสุขแล้ว ก็ถึงเวลาส่งโจวเสาจิ่นสองพี่น้องกลับบ้าน
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนเป็นยาย อีกทั้งยังเป็นแม่หม้าย ถึงแม้นางจะเลี้ยงดูโจวชูจิ่นมา แต่ตอนโจวชูจิ่นแต่งงานกลับไม่อาจมากล่าวอำลาท่านยายของตนได้ พอโจวชูจิ่นนึกถึงว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่นางจะได้พบฮูหยินผู้เฒ่ากวนก่อนนางออกเรือน น้ำตาจึงไหลพรากออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ซุกตัวอยู่ในอ้อมกอดของฮูหยินผู้เฒ่ากวนอย่างแสนเสียดายที่จะต้องจากไป
โจวเสาจิ่นกับฮูหยินใหญ่เหมี่ยนยืนน้ำตาไหลไม่หยุดอยู่ข้างๆ
เฉิงเหมี่ยนเป็นบุรุษ ควบคุมอารมณ์ได้ดีกว่า โบกมือให้โจวเสาจิ่นด้วยนัยน์ตาแดงเรื่อ กล่าวขึ้นว่า “รีบกลับบ้านเถิด! หากช้ากว่านี้จะถึงเวลาห้ามออกนอกเคหะสถานยามกลางคืนแล้ว ไม่ใช่ว่าจะพบกันไม่ได้อีก หรือว่าวันที่สองเจ้าจะไม่มาไหว้ปีใหม่ลุงแล้วอย่างนั้นหรือ!”
“เปล่าเจ้าค่ะๆ” โจวชูจิ่นเช็ดน้ำตา กล่าวอำลาคนตระกูลเฉิงจวนสี่อย่างแสนอาลัย น้ำตาไหลไปตลอดทางระหว่างทางกลับบ้านตระกูลโจว

VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน