เข้าสู่ระบบผ่าน

ยามดอกวสันต์ผลิบาน นิยาย บท 247

ชุนหว่านเอ่ยถามอย่างฉงน “คุณหนูรอง ท่านเป็นอะไรไปหรือเจ้าคะ”

“เปล่าๆ” ขณะที่โจวเสาจิ่นกล่าวอยู่นั้น หน้าผากก็มีเหงื่อเย็นผุดออกมา “ใครมาหรือ”

เมื่อครู่ท่านน้าฉือยังบอกว่าต่อไปไม่ให้นางไปที่เรือนหานปี้ซานอีก

“เฝ่ยชุ่ยเจ้าค่ะ” นัยน์ตาของชุนหว่านฉายความงุนงงเล็กน้อย พลางกล่าว “บอกว่าฮูหยินผู้เฒ่าเชิญท่านไปหารือเรื่องของคุณหนูใหญ่เจ้าค่ะ”

เช่นนั้นแม้แต่การจะซักไซ้ถามว่าเหตุใดฮูหยินผู้เฒ่าถึงเรียกนางไปก็ทำไม่ได้แล้ว!

โจวเสาจิ่นรู้สึกหดหู่ยิ่ง

ทางด้านของเฝ่ยชุ่ยกลับเร่งว่า “ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกำลังรอคุณหนูรองอยู่เจ้าค่ะ!”

โจวเสาจิ่นไม่มีทางเลือก ทำใจดีเข้าสู้แล้วผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ ให้ชุนหว่านไปเตรียมเกี้ยว

พอโจวชูจิ่นทราบว่านางกำลังจะออกไปก็ส่งคนมาสอบถาม กล่าวว่า “เมื่อครู่ไม่ใช่ว่าท่านน้าฉือมาหาแล้วหรอกหรือ ไฉนจู่ๆ ถึงเชิญเจ้าไปอีกหรือ”

โจวเสาจิ่นตอบว่า “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันเจ้าค่ะ คงได้แต่ต้องรอให้ข้ากลับมาแล้วค่อยคุยกันอีกที”

ทว่าในใจของนางกลับไม่มั่นใจและว้าวุ่นยิ่ง ยังดีที่โจวชูจิ่นไม่ได้ซักถามมากนัก

ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนที่อยู่ในห้องหนังสือกลับส่งคนมาแจ้งว่า “ประเดี๋ยวข้าก็จะกลับจวนแล้วเช่นกัน เจ้ารอข้าสักครู่ พวกเราค่อยกลับซอยจิ่วหรูไปด้วยกัน”

ตอนนี้ดวงตาของนางยังบวมเป่งอยู่ จะไปพร้อมกับฮูหยินใหญ่เหมี่ยนได้อย่างไรเล่า

โจวเสาจิ่นให้ปี้เถาไปตอบฮูหยินใหญ่เหมี่ยนว่า “เฝ่ยชุ่ยยังรออยู่ที่ประตูห้องโถงเจ้าค่ะ”

โชดดีที่ยามปกตินางทำตัวน่ารักเชื่อฟัง ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนจึงไม่ได้รู้สึกไม่พอใจแต่อย่างใด เพียงให้นางระวังตัวตอนเดินทาง หลายวันมานี้ผู้คนมากมายเดินทางออกนอกเมืองไปชมทิวทัศน์ฤดูใบไม้ผลิ ถนนหนทางคลาคล่ำไปด้วยผู้คนและรถม้า อย่าไปชนกับผู้อื่น

โจวเสาจิ่นกล่าวขอบคุณซ้ำแล้วซ้ำเล่า ขึ้นเกี้ยวที่โรงเกี้ยว แล้วไปเรือนหานปี้ซาน

ทว่าครั้นลงจากเกี้ยวที่เรือนหานปี้ซาน เฝ่ยชุ่ยกลับพานางเดินอ้อมเรือนหลักมุ่งไปเรือนหลีอิน

โจวเสาจิ่นพรั่นกลัวจนดวงหน้าเผือดสี ยืนนิ่งอยู่ที่นั่นไม่ขยับ พลางกล่าว “ข้าจะไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่าก่อนแล้วค่อยไปพบท่านหน้าฉือ”

เดิมทีเฝ่ยชุ่ยไม่คิดจะเอื้อนเอ่ยคำใด แต่ใครจะรู้ว่าซางมามากลับสาดสายตาดั่งศรมา

นางได้แต่กล่าวยิ้มๆ ว่า “ฮูหยินผู้เฒ่ากำลังสนทนากับนายท่านสี่อยู่ในเรือนหลีอินเจ้าค่ะ!”

ส่วนทางด้านของซางมามาก็รออยู่ด้วยรอยยิ้ม

โจวเสาจิ่นจึงได้แต่ตามเฝ่ยชุ่ยไปที่เรือนหลีอิน

แต่พอนางก้าวเข้าเรือนหลีอินก็พบว่าตนถูกหลอกเข้าให้แล้ว

ภายในเรือนหลีอินเงียบสงัดไม่เห็นผู้ใดแม้แต่คนเดียว ไม่ได้ยินเสียงใดแม้แต่น้อย

ชั่วขณะนั้นนางหมุนกายหมายจะเดินออกไป “ข้า…ข้าจะไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่า”

เฝ่ยชุยอยากจะหลบไปข้างๆ แต่ใครจะรู้ว่าซางมามากลับผลักนางทีหนึ่ง และด้วยหนึ่งท่านี้นางถูกผลักไปถึงเบื้องหน้าของโจวเสาจิ่นราวกับเป็นเรื่องบังเอิญ ทำให้คนอื่นเห็นแล้วเสมือนนางรีบก้าวมาขวางโจวเสาจิ่นเอาไว้อย่างไรอย่างนั้น ซางมามาผู้นั้นยังตบไหล่นางทีหนึ่ง จู่ๆ ร่างกายของนางก็ชาไปทั้งตัวในทันใด เจ็บปวดจนพูดไม่ออกนานพักใหญ่ ซางมามายังจงใจกล่าวว่า “คุณหนูรองเจ้าคะ เฝ่ยชุ่ยก็เพียงทำตามคำสั่งเท่านั้น ท่านไปพบนายท่านสี่ก่อนแล้วค่อยไปทำความเคารพฮูหยินผู้เฒ่าดีกว่า เฝ่ยชุ่ยจะได้ไม่ต้องรู้สึกลำบากใจ นอกจากนี้เรือนหลีอินที่นายท่านสี่พำนักอยู่กับเรือนหลักที่ฮูหยินผู้เฒ่าพำนักอยู่เพียงกั้นไว้ด้วยกำแพงดอกไม้เท่านั้น หากว่าทางนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้น ทางนั้นก็ได้ยินเช่นกัน นายท่านสี่เองก็ไม่ใช่ผู้ที่ไม่รู้จักขอบเขตเช่นนั้น…”

โจวเสาจิ่นเคลือบแคลงใจยิ่ง

เกรงว่านางยังไม่ทันส่งเสียงร้องอะไรก็ถูกท่านน้าฉือปิดปากไว้เสียก่อนมากกว่า

ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด นางถึงมั่นใจเช่นนี้ คิดว่าเฉิงฉือจะต้องมีความสามารถเช่นนี้อยู่เป็นแน่

ซางมามาเห็นนางไม่ขยับเขยื้อน จึงไม่กล้าใช้แรงบังคับอีก กล่าวอย่างปราดเปรื่องว่า “คุณหนูรอง นายท่านสี่ไม่ใช่ผู้ที่ไม่มีเหตุผล เหตุใดท่านไม่ใช้โอกาสนี้พูดคุยกับนายท่านสี่ให้กระจ่างเล่า ท่านลองคิดดู นายท่านสี่เคยทำร้ายผู้อื่นเมื่อใดกัน อีกทั้งข้าเคยทำโทษผู้อื่นเมื่อใดกันเจ้าคะ…”

โจวเสาจิ่นที่ยืนอยู่เบื้องหน้าของนางเห็นสีหน้าของนางผ่อนคลายลงอย่างกะทันหันราวกับได้ปลดภาระอันหนักอึ้งออกไปขณะที่กำลังพูดอยู่

โจวเสาจิ่นลอบรู้สึกสังหรณ์ใจ หันหน้ากลับไปมอง ไม่รู้ว่าเฉิงฉือยืนเอามือไพล่หลังอยู่ใต้ชายคาประตูใหญ่เรือนหลีอินตั้งแต่เมื่อไร

เขายืนตัวตรง ประหนึ่งต้นสนที่สูงตระหง่าน ดวงหน้าซ่อนอยู่ใต้เงาชายคาเรือนมองไม่ออกว่าอารมณ์ดีหรือโกรธขึ้ง

โจวเสาจิ่นรู้สึกอับอายยิ่งนัก

ท่านน้าฉือต้องคิดว่านางโง่งม คนอื่นพูดเพียงไม่กี่ประโยคก็หลอกล่อนางมาถึงที่นี่ได้แล้ว

แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ในใจของนางรู้สึกประหนึ่งมีศิลาก้อนใหญ่ร่วงลงบนพื้นดินก็ไม่ปาน

เพียงแต่ตอนนี้นางไม่มีเวลาและเรี่ยวแรงมาใคร่ครวญอารมณ์ความรู้สึกของตนเองอย่างละเอียด ดวงหน้าของนางร้อนผะผ่าว ไม่รู้ว่าควรกล่าวอะไรออกไปดี

“เจ้าตามข้ามา!” เฉิงฉือกล่าวอย่างเยียบเย็น หมุนกายเดินเข้าเรือนหลีอิน

เฝ่ยชุ่ยกับซางมามารีบหลบไปยืนข้างๆ

ขาของโจวเสาจิ่นหนักอึ้งราวกับมีน้ำหนักหนึ่งพันจิน จนกระทั่งซางมามาเรียกนางเบาๆ สองครั้งว่า “คุณหนูรองๆ” นางถึงได้เดินเข้าห้องหนังสือของเรือนหลีอินไปอย่างเนือยๆ

ประตูห้องหนังสือถูกปิดดัง ปัง ไล่หลังนางไป

โจวเสาจิ่นตกใจกลัวจนตัวสั่นเทิ้มไปชั่วขณะ

ในใจกระหวัดนึกถึงถ้อยคำที่เฉิงฉือกล่าวไว้ยามไปถนนผิงเฉียวครั้งแรกอย่างอธิบายไม่ได้

โจวเสาจิ่นอดวิพากษ์อยู่ในใจอย่างห้ามไม่อยู่ว่า มิใช่ว่าท่านกล่าวว่ายืนคุยกันที่ลานบ้านหากมีคนดักฟังก็มองเห็นได้ชัดหรอกหรือ เหตุใดตอนนี้ถึงไม่กลัวคนได้ยินเล่า ถึงกับปิดประตูห้องหนังสือเสียสนิททุกบาน…

ตอนที่โจวเสาจิ่นก้าวเข้าเรือนหลีอินนั้นเฉิงฉือเห็นดวงตาของนางยังบวมแดงอยู่หลายส่วนผ่านกระจกหน้าต่าง ตอนนี้มาเห็นสีหน้าหวาดกลัวของนางราวกับกระต่ายน้อยที่ตกหลุมพรางอีก โทสะในใจพลันพลุ่งพล่านขึ้นมาใหม่อีกครั้ง

นี่เขากำลังช่วยเหลือนางอยู่ นางจะกลัวไปทำไม

เขาจะเขมือบนางหรืออย่างไร

ทว่าทันทีที่ความคิดนี้วาบผ่าน เขาก็พรูลมหายใจยาวออกมาในทันใด เตือนตัวเองว่า การปกครองบ้านเมืองยังเปรียบเสมือนกับการทำอาหาร[1] ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องในครัวเรือนที่อธิบายไม่ได้อย่างแน่ชัดเหล่านี้ เขาจึงต้องควบคุมอารมณ์ อดทนอดกลั้นสักหน่อย และอย่าโกรธเกรี้ยวเป็นอันขาด

Verify captcha to read the content.VERIFYCAPTCHA_LABEL

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน