เฉิงฉือโกรธเกรี้ยวยิ่งนัก
มีเรื่องของหวงหลี่ก่อนหน้านี้ อีกทั้งเรื่องที่โจวเสาจิ่นกล่าวมานั้นก็ยังถูกต้องแม่นยำกระทั่งวันเดือนปี เขาไม่เชื่อว่าภายในตระกูลเฉิงหรือบรรดาญาติที่เกี่ยวดองกับตระกูลเฉิงจะมีผู้มีความสามารถเช่นนี้อยู่ด้วย ถ้อยคำที่เขาพูดออกมา หรือสิ่งที่กระทำมาตั้งแต่ต้นจนจบก็เพียงเพื่อหวังให้โจวเสาจิ่นได้คลายปมในใจ แล้วบอกความจริงแก่เขา
ต่อให้ไม่อาจบอกความจริงแก่เขา ขอเพียงให้ล้วงเอาข้อมูลจากปากของนางได้ก็พอ
แต่เขาไม่นึกไม่ฝันเลยว่า สิ่งที่ล้วงออกมานั้นจะเป็นเฉิงสวี่!
หลานชายที่เขาฝากความหวังเอาไว้มากมายผู้นี้
เพื่อหลานชายคนนี้ เขาถึงกับปฏิเสธมารดาที่ขอให้เขาช่วยชี้แนะสั่งสอนเฉิงรั่ง เพียงเพราะกลัวว่าจะสร้างศัตรูคนหนึ่งให้แก่เขา แล้วกระทบต่อความมั่นคงและความสามัคคีปรองดองในตระกูลเฉิง
เจ้าสัตว์เดรัจฉานน้อยผู้นี้!
เฉิงฉือจับแขนของโจวเสาจิ่นไว้แน่น พยายามทำให้เสียงของตนฟังดูไม่แข็งกระด้าง กล่าวขึ้นว่า “เสาจิ่น เจ้าไม่ต้องกลัว ข้าคือเฉิงจื่อชวน!”
ทว่าโจวเสาจิ่นกลับเสมือนกับฝันร้ายก็ไม่ปาน กรีดร้องเสียงแหลมพลางเตะต่อยเขา
ซางมามาพุ่งเข้ามา “นายท่านสี่…”
สายตาของเฉิงฉือกวาดผ่านไปประดุจแสงดาบ น้ำเสียงเยียบเย็นราวเศษน้ำแข็ง “ออกไปซะ!”
ซางมามาถอยออกไปอย่างอกสั่นขวัญแขวน
โจวเสาจิ่นยิ่งดิ้นทุรนทุราย
เฉิงฉือไม่รู้จะทำอย่างไร ได้แต่โอบกอดนางไว้ในอ้อมแขนของเขา แล้วเอ่ยเตือนนางข้างหูด้วยเสียงอบอุ่นว่า “เสาจิ่น ข้าคือเฉิงจื่อชวน น้าของเจ้า…”
กลิ่นหอมสดชื่นจางๆ ของน้ำหอม ‘ดังที่ได้ยินมา’ ประดุจดอกไม้ไร้นามข้างภูเขาและท้องทุ่ง ทั้งมีกลิ่นหอมหวานของดอกไม้และมีกลิ่นหอมสดชื่นของใบหญ้า ทำให้คนที่ได้กลิ่นรู้สึกผ่อนคลาย
โจวเสาจิ่นค่อยๆ สงบลงมา
เฉิงฉือรู้สึกโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง ตบหลังของนางเบาๆ พลางปลอบใจนางประหนึ่งปลอบโยนเด็กทารกก็ไม่ปานว่า “ไม่ต้องกลัวๆ!”
โจวเสาจิ่นเสมือนได้หวนคืนสู่อ้อมอกของมารดา นานครู่หนึ่งถึงได้สติคืนกลับมา ค้นพบว่าตนกำลังถูกเฉิงฉือโอบกอดอยู่ในอ้อมแขนอย่างหมดหนทางสู้
นางสะดุ้งตกใจ ยื่นมือผลักเฉิงฉือออกไป
แต่ใครจะรู้ว่าเฉิงฉือแข็งแกร่งยิ่งกว่าที่นางจินตนาการไว้ นอกจากนางจะผลักเฉิงฉือออกไปไม่ได้แล้ว ในทางกลับกันยังทำให้เฉิงฉือเข้าใจอารมณ์ความรู้สึกของนางผิดไป คิดว่านางเริ่มตื่นตระหนกขึ้นมาอีกครั้ง จึงกอดรัดนางในอ้อมแขนให้แน่นขึ้น พลางปลอบโยนนางเบาๆ ไม่หยุดว่า “ไม่ต้องกลัว ข้าคือน้าฉือ! ไม่ต้องกลัว ไม่เป็นไรแล้ว…”
แท้จริงแล้วท่านน้าฉือเพียงปลอบใจนางเท่านั้น
ทั้งร่างของโจวเสาจิ่นผ่อนคลายลงมาแล้ว
ดวงใจของเฉิงฉือที่แขวนค้างอยู่นั้นในที่สุดก็ผ่อนคลายลงมา
เขาลองคลายแขนที่โอบโจวเสาจิ่นออกอย่างช้าๆ
เด็กน้อยคนนี้ดูเหมือนอ่อนโยนนุ่มนวล แต่พอโวยวายขึ้นมากลับเหมือนแมวน้อยที่ทั้งข่วนและตะปบ หากว่านางเป็นเช่นนี้ต่อไปอีก เขาก็ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดีแล้วจริงๆ
เด็กน้อยหยุดดิ้นอย่างเชื่อฟัง
เฉิงฉืออดไม่ได้ที่จะลูบศีรษะของนางประหนึ่งปลอบขวัญสัตว์ตัวน้อย กระซิบกล่าวว่า “เสาจิ่น ที่เจ้าบอกว่าเชื่อใจข้า ตอนนี้เจ้ายังเชื่อใจข้าอยู่หรือไม่”
แน่นอนว่านางเชื่อในความสามารถของท่านน้าฉือ
หาไม่แล้วชาติก่อนเขาก็คงจะไม่บุกไปช่วยเฉิงสวี่ที่ลานประหาร และชีวิตนี้นางก็คงจะไม่ขอให้เขาช่วยนำความไปแจ้งเฉิงจิงด้วยเช่นกัน!
โจวเสาจิ่นพยักหน้า
เช่นนั้นก็ดี!
เฉิงฉือเม้มปากกลั้นยิ้ม กล่าวด้วยเสียงนุ่มนวลว่า “เช่นนั้น เสาจิ่น เจ้าบอกข้า นอกจากเฉิงสวี่แล้ว เฉิงลู่กับเฉิงจวี่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่”
โจวเสาจิ่นพรั่นกลัวจนรู้สึกสยองพองขน
นางยังไม่ทันได้กล่าวอะไร ท่านน้าฉือก็คาดเดาได้แปดถึงเก้าในสิบส่วนแล้ว
หากว่านางเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในชาติก่อนจนหมดเปลือกล่ะก็ เช่นนั้นยังจะมีเรื่องอะไรที่สามารถปกปิดท่านน้าฉือได้อีกเล่า
ร่างกายของนางแข็งทื่อ
เฉิงฉือที่โอบกอดนางอยู่รู้สึกได้ถึงอารมณ์ความรู้สึกของนาง
ไอเหี้ยมโหดสายหนึ่งวาบผ่านนัยน์ตาของเขา ทว่าเสียงของเขากลับอ่อนโยนยิ่งขึ้น “เสาจิ่น เจ้าไม่ต้องกลัว เจ้าเพียงบอกความจริงกับข้า…เฉิงสวี่ฉกฉวยสิ่งของของเจ้าไปใช่หรือไม่ ฉะนั้นเจ้าถึงได้ไร้หนทางหลบหนี…”
โจวเสาจิ่นตะลึงงัน
เฉิงฉือคิดไปถึงข้อนี้ได้อย่างไร
ทว่าเหตุการณ์ในปีนั้น ก็ไม่แตกต่างจากนี้มากนัก เพียงแต่ร้ายแรงกว่านี้มาก!
แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้น ท่านน้าฉือก็ยังจะคิดว่านางไม่ผิดใช่หรือไม่
จะยืนอยู่ฝ่ายนางและช่วยเหลือนางอยู่ใช่หรือไม่
โจวเสาจิ่นจับแขนเสื้อของเฉิงฉือไว้แน่น
กล่าวอีกนัยได้ว่า ตนเดาถูกแล้ว!
เพลิงไฟในใจของเฉิงฉือพลันลุกพรึบขึ้นมาในทันที ทำให้เขาไม่กล้าเอ่ยปากพูดแม้แต่น้อย ด้วยเกรงว่าครั้นตนเอ่ยปากแล้วจะทำให้โจวเสาจิ่นหวั่นกลัวประหนึ่งนกน้อยที่หวาดผวาคันศร
ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาถึงได้ลูบผมสีดำขลับของโจวเสาจิ่นเบาๆ พลางกล่าวด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “เสาจิ่น เจ้าวางใจเถอะ ข้าจะช่วยเจ้านำสิ่งของของเจ้ากลับมา รับรองว่าจะไม่ให้ผู้อื่นล่วงรู้ได้เป็นอันขาด อย่างไรก็ตาม เจ้าต้องบอกข้าว่าของสิ่งนั้นคืออะไร…” พูดเสร็จก็กลัวว่าของสิ่งนั้นอาจจะเป็นของส่วนตัวมาก จึงกล่าวว่า “หรือไม่ เจ้าเขียนบอกข้าก็ได้…”
ขอบตาของโจวเสาจิ่นเปียกชื้นขึ้นมาในทันใด
หลังจากที่นางเล่าเรื่องที่น่าตกใจไปขนาดนั้น หลังจากที่นางกรีดร้องอย่างคลุ้มคลั่งไปเช่นนั้น นอกจากท่านน้าฉือจะไม่มองว่านางเป็นตัวประหลาด ไม่ผลักไสนางออกไปแล้ว กลับยังเป็นห่วงนาง ปกป้องนางเหมือนเดิม…บางทีในโลกนี้ ไม่มีผู้ใดดีกับนางได้กว่าท่านน้าฉืออีกแล้ว!
นางจับแขนเสื้อของเฉิงฉือพลางร้องไห้สะอึกสะอื้น
ไม่นานแขนเสื้อของเฉิงฉือก็เปียกชุ่มไปด้วยน้ำตา
เฉิงฉือสีหน้าหม่นหมองเล็กน้อย
VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน