เฉิงฉือได้ยินแล้วก็ย่นหัวคิ้วมุ่น พลางถาม “เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อใด”
โจวเสาจิ่นก้มหน้าตอบ “วันที่ยี่สิบสี่เดือนสามปีที่แล้วเจ้าค่ะ ข้าลื่นล้มอยู่ข้างทะเลสาบ เมื่อฟื้นขึ้นมาลืมตากลับพบว่าย้อนกลับมาตอนอายุสิบสองขวบ…”
เฉิงฉือพยักหน้าน้อยๆ
นี่ตรงกับที่ไหวซานรายงาน
เขาชำเลืองมองโจวเสาจิ่นครั้งหนึ่ง พลางกล่าว “เช่นนั้นเหตุใดเจ้าถึงต้องแทรกแซงเรื่องของตระกูลหลินกับมู่สองตระกูลด้วย เป็นตระกูลหลินที่มีความสัมพันธ์กับเจ้าหรือตระกูลมู่ที่มีความสัมพันธ์กับเจ้า”
เรื่องราวที่เกิดขึ้นก็สืบเนื่องมาจากเรื่องนี้ โจวเสาจิ่นรู้แก่ใจดีว่าไม่มีทางหลีกเลี่ยงหัวข้อนี้ไปได้
นางอดกล่าวเสียงเบาไม่ได้ว่า “ชาติก่อน หลินซื่อเซิ่งเป็นสามีของข้าเจ้าค่ะ!”
เฉิงฉือเลิกคิ้วขึ้น พลางถาม “สามีเก่าหรือ”
ถือว่าเป็นเช่นนั้นได้อยู่กระมัง…
ดวงหน้าของโจวเสาจิ่นขึ้นสีแดงเรื่อ
ทว่าเฉิงฉือกลับเอ่ยขึ้นว่า “หรือว่าเจ้าไปแย่งคู่หมั้นของคุณหนูใหญ่ตระกูลมู่ จากนั้นเหตุเพราะคดีของตระกูลมู่คุณหนูใหญ่ตระกูลมู่จึงตกอับจนต้องกลายเป็นนางโลมหลวง เจ้าถึงได้รู้สึกผิดมาก ดังนั้นจึงอยากจะช่วยเหลือพวกเขา”
“จะเป็นไปได้อย่างไรเจ้าคะ!” โจวเสาจิ่นได้ยินแล้วก็รู้สึกร้อนรนจนกระทืบเท้า พลางกล่าว “ข้าเป็นคนเช่นนั้นหรือเจ้าคะ ข้าจะไปแย่งคู่หมั้นของผู้อื่นได้อย่างไรเล่า คุณหนูใหญ่ตระกูลมู่หมั้นหมายกับหลินซื่อเซิ่งตั้งแต่ยังเล็ก หากว่าไม่เกิดเหตุร้ายนี้ พวกเขาก็คงจะแต่งงานกันอย่างราบรื่นไปนานแล้ว แต่หลินซื่อเซิ่งกลับคิดคะนึงหาคุณหนูใหญ่ตระกูลมู่อยู่เสมอ ต่อมาจึงหาโอกาสรับคุณหนูใหญ่ตระกูลมู่เข้ามาเป็นอนุ…ข้าเพียงอยากจะช่วยเหลือพวกเขาเท่านั้นเจ้าค่ะ!”
มีการช่วยเหลือเช่นนี้ด้วยหรือ
สามีของตนในชาติก่อนรับคนรักที่ชอบพอกันมาตั้งแต่ยังเล็กเป็นอนุ นางที่เป็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมาย นอกจากจะไม่อิจฉาริษยาหรือเศร้าเสียใจแล้ว ยังคิดหาทางให้สามีของตนได้แต่งงานกับอนุผู้นั้น…ยิ่งกว่านั้นตระกูลโจวมาจากตระกูลผู้มีการศึกษาอันเป็นที่เคารพนับถือ จะแต่งงานกับหลินซื่อเซิ่งที่เลื่อนยศตำแหน่งมาจากทหารได้อย่างไร ซ้ำยังแต่งงานไกลถึงจิงเฉิง!
เฉิงฉือชำเลืองมองโจวเสาจิ่นทีหนึ่งด้วยท่าทางคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม พลางกล่าว “พวกเจ้าคงเป็นสามีภรรยากันแบบหลอกๆ กระมัง”
“เปล่าเจ้าค่ะ!” โจวเสาจิ่นปฏิเสธไปตามสัญชาตญาณ “พวกข้าไม่ได้เป็นสามีภรรยากันแบบหลอกๆ เจ้าค่ะ!”
เฉิงฉือไม่เชื่อแม้แต่คำเดียว เอ่ยถามว่า “เจ้าไปแต่งงานที่จิงเฉิงได้อย่างไร”
โจวเสาจิ่นลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกระซิบตอบว่า “พี่เขยของข้าเป็นพ่อสื่อให้เจ้าค่ะ”
มิใช่ฮูหยินผู้เฒ่ากวนหรือโจวเจิ้นที่เป็นผู้หาคู่ครองมาให้ แต่เป็นเลี่ยวเส้าถังที่เป็นพ่อสื่อให้
แค่เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่ชวนให้ผู้คนต้องขบคิดด้วยตัวของมันเองอยู่แล้ว
เฉิงฉือนึกถึงปฏิกิริยาโต้ตอบของโจวเสาจิ่นยามที่เขาจับตัวนางเมื่อครู่ หนำซ้ำยังมีคำปฏิเสธของนางยามที่เขาเอ่ยถึงเฉิงสวี่…สีหน้าของเขาดำดิ่งลงอย่างอดไม่ได้ พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “เสาจิ่น ชาติก่อนที่เจ้ากล่าวมา เฉิงสวี่ได้ทำเรื่องมิดีมิร้ายต่อเจ้าหรือไม่”
เพียงมีเบาะแสเท่านี้ ก็ไขความว่าเหตุใดนางถึงได้ออกจากตระกูลเฉิง เหตุใดถึงได้แต่งงานไปอยู่ที่ไกลๆ ได้แล้ว!
สีหน้าของโจวเสาจิ่นแข็งทื่อเล็กน้อย
ในที่สุดท่านน้าฉือก็ค้นพบจนได้!
แต่เรื่องน่าอับอายเช่นนั้น ต่อหน้าท่านน้าฉือ นางจะเอ่ยปากกล่าวออกมาได้อย่างไร
มือของนางกำหมัดแน่น ร่างกายสั่นเทิ้มอย่างห้ามไม่อยู่
เฉิงฉือเห็นแล้วอดรนทนมองไม่ได้
เรื่องราวในอดีตก็ผ่านพ้นไปแล้ว เหตุใดเขาถึงต้องเอ่ยขึ้นมาใหม่ให้นางรู้สึกเจ็บปวดช้ำใจซ้ำอีกเล่า
เขาก้าวมาลูบศีรษะของโจวเสาจิ่นเบาๆ อย่างอดไม่ได้ พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงอบอุ่นว่า “ถ้าหากรู้สึกไม่สบายใจ เจ้าก็ไม่ต้องไปนึกถึงมัน เจ้าบอกว่านั่นเป็นเรื่องราวในชาติก่อนมิใช่หรือ ชีวิตนี้เจ้าสุขสบายดี ฉะนั้นจึงไม่ต้องไปนึกถึงเรื่องที่ทำให้ระทมใจเหล่านั้นในชาติก่อนอีกแล้ว ดีหรือไม่”
โจวเสาจิ่นจวนจะมองเฉิงฉือด้วยความซาบซึ้งใจครั้งหนึ่ง
นางไม่อยากคิดถึงเรื่องที่ผ่านมาในอดีตอีกแล้วจริงๆ
ผู้กระทำผิดที่ต้องได้รับโทษนั้นต่างไม่รู้ แต่นางที่เป็นผู้เสียหายนี้กลับต้องเจ็บช้ำระกำใจไม่จบไม่สิ้น!
นางพยักหน้าน้อยๆ อย่างเชื่อฟัง
เฉิงฉือเห็นแล้ว ก็ลอบผ่อนลมหายใจอย่างเงียบๆ
ต่อให้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในชาติก่อน แต่ความเจ็บปวดที่เคยได้รับกลับไม่อาจเลือนหายไปเพียงเพราะกาลเวลาที่ล่วงผ่าน มันเพียงถูกเก็บซ่อนเอาไว้อยู่ในซอกมุมหนึ่งเท่านั้น
เด็กน้อยผู้นี้ เชื่อฟังและว่าง่ายจนทำให้คนอื่นต้องรู้สึกปวดร้าวใจ!
เพียงแต่ไม่รู้ว่าชาติที่แล้วเฉิงสวี่ทำอะไรลงไปบ้างกันแน่
ไม่รู้ว่าจะตกต่ำจนเกินเยียวยาหรือไม่
ในเมื่อไม่มีผู้ใดอยู่เบื้องหลังนาง เขาก็ต้องไต่ถามเรื่องราวเหล่านั้นให้กระจ่างชัด
เฉิงฉือชี้ตั่งหลัวฮั่นที่อยู่ห่างไปไม่ไกลนัก พลางกล่าว “เสาจิ่น เจ้ายังไม่ได้บอกข้าเลยว่าตระกูลเฉิงจะถูกยึดทรัพย์และฆ่าล้างยกตระกูลได้อย่างไร พวกเรานั่งลงคุยกันสักหน่อยดีหรือไม่”
โจวเสาจิ่นรีบพยักหน้าหงึกๆ
ทั้งสองคนนั่งลงบนตั่งหลัวฮั่นด้านซ้ายคนหนึ่งด้านขวาคนหนึ่ง
โจวเสาจิ่นใคร่ครวญแล้วเล่าเรื่องราวในตอนนั้นให้เฉิงฉือฟัง
จากที่นางเล่าให้ฟังเฉิงฉือสังเกตว่าโจวเสาจิ่นในชาติก่อนอาศัยอยู่ในบ้านสวนของตระกูลหลินที่ต้าซิ่งตามลำพัง
เขากล่าวขึ้นว่า “เช่นนั้นเรื่องนี้ต้องไปถามเลี้ยวเส้าถังพี่เขยของเจ้าจะดีที่สุด แต่เลี่ยวเส้าถังไม่มีความสามารถในการหยั่งรู้อนาคต เขาจึงไม่รู้ว่าในภายภาคหน้าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น…”
โจวเสาจิ่นรู้สึกอับอาย
นางบอกไปแล้ว ทว่าก็เสมือนกับว่าไม่ได้บอกอะไรอยู่ดี
เฉิงฉือสอบถามอย่างละเอียดว่าโจวชูจิ่นไปถึงบ้านสวนเมื่อใด แล้วกลับไปเมื่อใด รั้งอยู่ที่บ้านสวนนานเท่าไร เล่าเรื่องอะไรให้นางฟังบ้าง หลินซื่อเซิ่งทราบเรื่องเมื่อใด เขียนจดหมายแจ้งนางเมื่อใด…ซักถามอย่างละเอียดไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่
โจวเสาจิ่นรู้ดีว่าเฉิงฉือหมายจะสืบหาร่องรอยเบาะแสจากในนั้นได้บ้าง นางจึงตั้งใจตอบเป็นอย่างยิ่ง
พอเฉิงฉือได้ยินแล้วก็จมเข้าสู่ห้วงความคิดของตน


VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน