แน่นอนว่าเฉิงฉือไม่ได้ฉุกคิดเลยว่าเป็นโจวเสาจิ่น
ในเมื่อมารดาให้คนเรียกโจวเสาจิ่นไปพบ เขาจะรั้งโจวเสาจิ่นเอาไว้อีกก็คงไม่เหมาะสมนัก
เขากล่าวกับโจวเสาจิ่นว่า “เจ้าจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อยเองได้หรือไม่ อยากให้ข้าเรียกหนานผิงมาช่วยเจ้าสักหน่อยหรือไม่”
ดวงหน้าของโจวเสาจิ่นขึ้นสีแดงเรื่อ
เมื่อครู่นางทั้งร้องไห้ฟูมฟายทั้งเอะอะโวยวาย กลัวว่าอาภรณ์คงจะยุ่งเหยิงหมดแล้ว หากเดินออกไปเช่นนี้ ถูกบ่าวหญิงเหล่านั้นเห็นเข้าจะถูกตราหน้าและนินทาว่าร้ายเอาได้
“ข้าทำเองได้เจ้าค่ะ!” โจวเสาจิ่นรีบกล่าว
เฉิงฉือรู้สึกโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง
เรื่องของโจวเสาจิ่นนั้นยิ่งคนรู้น้อยเท่าไรยิ่งดี
เขาลูบศีรษะนางประหนึ่งกล่อมเด็กน้อย พลางกล่าวเสียงเบาว่า “เดิมทีคนไร้ความผิด แต่เพราะครอบครองหยกจึงมีความผิด เรื่องที่เจ้าบอกข้าในวันนี้อย่าไปบอกผู้ใดจะดีที่สุด หากมีคนถาม เจ้าก็บอกว่าเล่นหมากล้อมกับข้าแล้วแพ้ ซ้ำยังถูกข้าตำหนิไปสองสามประโยค จึงรู้สึกเสียใจ ในโลกนี้มีคนทุกประเภท อีกทั้งเจ้ายังพบเจอกับเรื่องน่าอัศจรรย์เช่นนั้น หากว่าถูกคนอื่นเฝ้าจับตามอง ถูกคนอื่นใช้ประโยชน์ยังนับเป็นเรื่องเล็ก เพียงแต่เกรงว่าจะมีคนที่จิตใจคับแคบบางคน อยากจะใช้เจ้าสำหรับผลประโยชน์ของเขาเพียงคนเดียว กักขังเจ้าเอาไว้ทำให้พวกข้าต่างก็ตามหาไม่เจอ เช่นนั้นคงจะลำบากเสียแล้ว”
เรื่องย้อนกลับมามีชีวิตใหม่เป็นเสมือนกับศิลาก้อนใหญ่ที่กดทับทรวงอกของโจวเสาจิ่นเอาไว้ก็ไม่ปาน นางกลัวจะถูกผู้อื่นค้นพบและมองนางเป็นตัวประหลาด แต่นึกไม่ถึงว่า ประสบการณ์ของตนกลับเปรียบเหมือนหยกเหอซื่อปี้อันล้ำค่าในสายตาของท่านน้าฉือ
โจวเสาจิ่นพลันคิดว่าคราวเคราะห์ของตนก็ไม่ได้เลวร้ายถึงเพียงนั้นในทันใด
นางพยักหน้ารัวๆ “ข้าจะไม่บอกผู้ใดเจ้าค่ะ”
เฉิงฉือเห็นท่าทางของนางที่เหมือนไม่ตระหนักถึงความร้ายแรงของเรื่องนี้ จึงยังรู้สึกไม่ค่อยวางใจ ขู่นางต่อไปอีกว่า “หากเจ้าถูกคนอื่นลักพาตัวไปด้วยเหตุนี้ ข้าจะไม่สนใจเจ้าอีก เข้าใจหรือไม่”
ดวงหน้าของโจวเสาจิ่นร้อนผะผ่าว
ท่านน้าฉือทำเหมือนกับนางเป็นเด็กจริงๆ
อย่างไรก็ตาม ความรู้สึกที่ถูกคนอื่นปฏิบัติด้วยประหนึ่งเป็นเด็กน้อยคนหนึ่ง…ก็ไม่เลวสักเท่าใด
นางรีบสัญญาว่า “นอกจากท่านน้าฉือแล้ว ข้าจะไม่บอกผู้ใดแน่นอนเจ้าค่ะ”
เฉิงฉือจึงวางใจลงได้บ้าง ชี้ไปที่ห้องชั้นใน พลางกล่าว “ไปจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย แล้วพวกเราค่อยไปหาฮูหยินผู้เฒ่า”
โจวเสาจิ่นเดินเข้าไปในห้องชั้นในด้วยความอยากรู้อยากเห็นเล็กน้อย
ห้องชั้นในเป็นห้องพักเล็กๆ ห้องหนึ่ง ข้างผนังวางเตียงเคลือบเงาตัวเล็กเอาไว้ตัวหนึ่ง แขวนไว้ด้วยผ้าม่านสีขาวเนื้อละเอียด ข้างหน้าต่างวางโต๊ะเขียนหนังสือ นอกจากชุดเครื่องเขียนแล้วยังวางกระถางเซี่ยนหยางที่ปลูกต้นว่านแสนสุขไว้ด้วย บนชั้นวางของประดับวางไว้ด้วยตำราหรือม้วนหนังสือมากมายหลายประเภท
ไม่รู้ว่าในม้วนหนังสือนั้นจะวาดแผนที่อะไรที่ท่านน้าฉือพูดถึงตอนที่อยู่บนเรือหรือไม่
โจวเสาจิ่นอยากจะแง้มดูเหลือเกิน
นางหันศีรษะมองออกไปนอกห้อง เห็นปลายชุดเผาจื่อผ้าไหมหังโจวสีเทาไร้ลวดลายของเฉิงฉือพอดี
โจวเสาจิ่นทอดถอนใจอย่างผิดหวัง
หันศีรษะกลับมาแล้วเห็นกรอบกระจกที่หัวเตียง
กรอบกระจกนั้นทำจากไม้จันทร์แดง ติดไว้ด้วยกระจกทรงกลมแบบตะวันตกบานหนึ่ง เผยให้คนเห็นความวิจิตรอันโอ่อ่า
โจวเสาจิ่นมุ่ยปาก
ท่านน้าฉือช่างฟุ่มเฟือยยิ่งนัก
ไม่คาดคิดว่าบนกรอบกระจกจะติดกระจกแบบตะวันตกเอาไว้ด้วย
นางยืนอยู่หน้ากระจกแล้วเอียงซ้ายเอียงขวาสำรวจมองดวงหน้าของตัวเอง
ผิวขาวผุดผ่องดั่งหยก ไม่มีผดผื่นหรือรอยแผลใดๆ เพียงแต่ดวงตาแดงเรื่อและบวมเป่งเล็กน้อยเท่านั้น
โจวเสาจิ่นคลี่ยิ้มอย่างขัดเขิน มองกระจกแล้วแต่งหน้าแต่งตัวใหม่ให้เรียบร้อย จากนั้นก็ออกจากห้องไป
ไม่รู้ว่าเฉิงฉือเปลี่ยนชุดเป็นชุดเต้าเผาผ้าเนื้อละเอียดสีเขียวไม้ไผ่ตั้งแต่เมื่อไร สวมทับไว้ด้วยเสื้อคลุมแขนกว้าง ท่าทางงามสง่าราวเทพเซียนเล็กน้อย
โจวเสาจิ่นกล่าวเสียงเบาว่า “ท่านน้าฉือ ปีนั้นท่านไปจุดธูปเทียนแรกแห่งปีที่เขาหลงหู่จริงๆ หรือเจ้าคะ เช่นนั้นก็ไม่ได้ฉลองปีใหม่ที่จวนอย่างนั้นหรือเจ้าคะ”
“ใช่แล้ว!” เฉิงฉือยิ้มตอบโดยไม่ต้องคิด “ก่อนหน้านี้เจ้าไม่ได้บอกหรือว่าไม่ค่อยได้เห็นข้าสักเท่าไร ปกติข้าเดินทางอยู่ข้างนอกตลอดปี” ขณะที่เขากล่าว ก็เปิดประตูห้องหนังสือ
โจวเสาจิ่นรีบตามออกไป
ซางมามากับปี้อวี้ต่างรออยู่ด้านนอก
ปี้อวี้ยังดี เป็นเพียงคนที่ได้รับคำสั่งของฮูหยินผู้เฒ่าให้มาเชิญโจวเสาจิ่นไปพบเท่านั้น แต่ซางมามากลับได้ยินเสียงกรีดร้องโวยวายรางๆ อยู่บ้าง พอเห็นว่าโจวเสาจิ่นมีท่าทางปกติดี เดินออกมาด้วยดวงหน้าที่ประดับรอยยิ้มน้อยๆ นางจึงอดพรูลมหายใจยาวอย่างโล่งใจไม่ได้
เฉิงฉือเดินตามปี้อวี้ไปที่เรือนหลัก พลางเอ่ยถามนางไปด้วยว่า “ฮูหยินผู้เฒ่ากำลังทำอะไรอยู่หรือ”
ปี้อวี้ยิ้มตอบ “ฮูหยินผู้เฒ่ากำลังตรวจดูเครื่องประดับเก่าๆ อยู่เจ้าค่ะ! กล่าวว่านางเองก็จำไม่ได้แล้วว่าตนมีเครื่องประดับอะไรบ้าง จึงถือโอกาสที่หลายวันมานี้อากาศสดใส นำออกมาดูเจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นเหงื่อตก
ผู้อื่นนำตำราหนังสือหรือเสื้อผ้าอาภรณ์ออกมาผึ่งแดด ทว่าฮูหยินผู้เฒ่ากลับนำเครื่องประดับออกมาผึ่งแดด…
เห็นได้ชัดว่าเฉิงฉือกับโจวเสาจิ่นคิดไปทางเดียวกัน กล่าวว่า “ข้าจำได้ว่าทางวัดจะนำพระธรรมออกมาตาก เป็นช่วงเดือนอะไรนะ พวกเจ้าติดตามฮูหยินผู้เฒ่าออกไปด้วยก็ดีเหมือนกัน”
ปี้อวี้กล่าวยิ้มๆ “ตากพระธรรมกันในช่วงวันที่หกเดือนหกเจ้าค่ะ ช่วงนี้ยังถือว่าเร็วไปสักหน่อย”
เฉิงฉือเห็นว่านางตอบอย่างสุภาพ ไม่โอหังหรือประจบสอพลอแต่อย่างใด จึงชำเลืองมองดูนางอีกทีหนึ่ง
ปี้อวี้รีบก้มหน้าลงอย่างนอบน้อม
สีหน้าพึงพอใจสายหนึ่งวาบผ่านดวงหน้าของเฉิงฉือ เดินขึ้นเรือนหลักที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวพำนักอยู่
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกำลังนำเครื่องประดับออกมาตากจริงๆ
บนตั่งหลัวฮั่น วงกบหน้าต่าง โต๊ะน้ำชา และเก้าอี้มีเท้าแขนล้วนเต็มไปด้วยกล่องเครื่องประดับหลากหลายชนิดที่วางเอาไว้ ยังมีบางกล่องที่กองไว้กับพื้นด้วย ภายในห้องสุกสกาวด้วยอัญมณี ส่องสว่างไปด้วยสีทองอร่ามและเขียวมรกต
ครั้นเห็นโจวเสาจิ่นกับเฉิงฉือเดินเข้ามา ฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็กวักมือเรียกพวกเขาพลางกล่าวยิ้มๆ ว่า “พวกเจ้ามาพอดี มาช่วยข้าตรวจดูหน่อยเร็วเข้าว่าเครื่องประดับชิ้นไหนดูงดงาม ชิ้นไหนไม่งดงาม”


VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน