ไม่รู้ว่าใครอาศัยอยู่ที่นั่น
โจวเสาจิ่นไม่ได้เจตนาจะสอดส่องเรื่องของจวนหลัก นางจึงหมุนตัวไปตามเส้นทางเล็กๆ ของป่าไผ่มุ่งหน้าเดินไปทางเรือนหลัก
ใครจะรู้ว่าระหว่างที่เดินไปเดินมานั้น สิ่งที่อยู่ตรงหน้านอกจากต้นไผ่แล้วก็ยังมีแต่ต้นไผ่ ถนนที่ปูด้วยกรวดหินนั้นทอดออกไปเป็นทางเดินเส้นเล็กๆ อีกทั่วทุกมุม ไม่อาจรู้ได้ว่าทางเดินเส้นไหนไปทางใต้และเส้นไหนไปทางเหนือ ทัศนียภาพที่เห็นก็ไม่มีอะไรที่แตกต่างกัน ล้วนเหมือนกันทั้งหมด
นางหลงทางจนได้!
โจวเสาจิ่นชุ่มไปด้วยเหงื่ออย่างช่วยไม่ได้ จดจ่ออยู่กับการมองหาอยู่สักพัก ก็ยังมองไม่เห็นสีอื่นใดเลย
จะลองหาอีกสักหนึ่งเค่อ
หากว่ายังไม่ได้อะไร ก็จำต้องเสียหน้าร้องขอให้คนมาช่วยแล้ว!
นางขบริมฝีปาก แล้วเลือกทางเดินเล็กๆ เส้นหนึ่งที่ดูเหมือนจะนำไปยังทิศตะวันออก
ทางเดินเล็กๆ นี้คดเคี้ยวไปมา ราวกับไม่มีจุดสิ้นสุด ในร่มเงาเขียวครึ้มของป่าไผ่นั้น เต็มไปด้วยเสียงหวีดหวิวของลมที่กรีดผ่านกิ่งก้านและใบไผ่ เงียบเชียบไร้ซึ่งเสียงคน
มือของโจวเสาจิ่นเต็มไปด้วยเหงื่อ
ป่าไผ่แห่งนี้กว้างใหญ่แค่ไหนกันแน่นะ?
ทำไมที่ผ่านมานางไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าจวนหลักมีป่าไผ่ที่กว้างใหญ่ขนาดนี้อยู่ที่นี่ด้วย
อีกนานแค่ไหนกว่าจะเดินออกไปได้?
นี่นางยิ่งเดินยิ่งไกลออกไป หรือยิ่งเดินยิ่งใกล้เข้ามากันแน่?
โจวเสาจิ่นร้อนรนจนน้ำตาเกือบจะร่วงลงมาแล้ว
นางลองตะโกนเสียงดังว่า “สวัสดี” ออกไปคำหนึ่ง
น้ำเสียงที่แฝงเอาไว้ด้วยความหวาดกลัวสะท้อนก้องอยู่ในป่าไผ่ แต่มีเพียงนกที่ไม่รู้จักชื่อไม่กี่ตัวตกใจกระพือปีกบินข้ามศีรษะของนางไปเท่านั้น
ด้านหน้าเป็นทางแยกสามทาง
จะเดินต่อไปข้างหน้าหรือเลี้ยวซ้าย? หรือว่าจะเลี้ยวขวาดี?
โจวเสาจิ่นยืนอยู่ตรงนั้นอย่างตัดสินใจไม่ได้ เขย่งเท้ามองไปรอบๆ
ทางด้านขวาของป่าไผ่เผยให้เห็นกำแพงสีขาวและหน้าต่างไม้ระแนงสีแดงที่มีลวดลายเป็นรอยร้าวของน้ำแข็งแขวนเอาไว้ด้วยผ้าม่านสีเหลืองอ่อนครึ่งบานอยู่รางๆ
หน้าต่างไม้ระแนงของเรือนหานปี้ซานล้วนเป็นสีแดง มีลวดลายเป็นรอยร้าวของน้ำแข็ง และแขวนเอาไว้ด้วยผ้าม่านสีเหลืองอ่อน
นางดีใจเป็นอย่างยิ่ง ยกกระโปรงเอาไว้แล้วรีบวิ่งไปทางด้านนั้นไปด้วย พลางร้องตะโกนถามเสียงดังไปด้วยว่า “มีคนอยู่หรือไม่”
ทันใดนั้นก็มีคนพุ่งออกมาจากด้านหลังของนางและปิดปากของนางเอาไว้แน่น
โจวเสาจิ่นตกใจกรีดร้องแหลมสุดเสียง ทั้งโบกกำปั้นทุบต่อยและสะบัดเท้าถีบเตะ
“อย่าร้องๆ!” มีคนเดินมาทางนาง แต่งกายด้วยเสื้อผ้าอย่างดี ใบหน้าหล่อเหลา รูปร่างสูงโปร่ง น้ำเสียงใสกังวาน “ข้าไม่ใช่คนไม่ดี! ข้าเพียงผ่านมาทางป่าไผ่เท่านั้น เจ้าอย่าร้อง ข้าจะให้ต้าซูปล่อยเจ้าเดี๋ยวนี้!”
โจวเสาจิ่นราวกับถูกสายฟ้าฟาด
ทำไมนางต้องมาพบกับเขาอย่างกะทันหันเช่นนี้
ในเวลานี้เขาควรจะเรียนหนังสืออยู่ที่สำนักศึกษาไม่ใช่หรือ
นางกำลังอยู่ที่ไหนกันแน่?
โจวเสาจิ่นตัวสั่นสะท้าน ราวกับตกลงไปในหลุมน้ำแข็ง
เมื่อคนที่ปิดปากของนางเอาไว้เห็นว่านางไม่ดิ้นรนขัดขืน ก็ลองค่อยๆ ผ่อนคลายมือออก จนเมื่อเห็นว่านางไม่ขยับ ถึงค่อยปล่อยนางจริงๆ
ตอนนี้เฉิงสวี่ถึงได้เห็นโจวเสาจิ่นแบบชัดเจน
เขาร้อง ‘เอ๋’ ออกมาคำหนึ่งด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสนเท่ห์ เอ่ยถามอย่างประหลาดใจว่า “ไม่ทราบว่าน้องสาวเป็นคนของจวนไดหรือ ข้าคือเฉิงสวี่จากจวนหลัก ที่นี่คือเรือนหานปี้ซาน เป็นอาณาบริเวณของท่านย่าของข้า ไม่ทราบว่าน้องสาวชื่ออะไร ทำไมข้าไม่เคยเห็นมาก่อน”
โจวเสาจิ่นพูดไม่ออกแม้สักประโยค
นางรู้สึกกำลังปวดไปถึงไขกระดูก
ถึงแม้จะเคยตั้งปณิธานเอาไว้ว่า เมื่อได้พบกับเฉิงสวี่อีกครั้งจะต้องทำเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาก่อนแล้วยิ้มน้อยๆ เพื่อทักทาย แต่เมื่อได้พบกับเฉิงสวี่อีกครั้งแล้ว นางกลับไม่อาจทำอย่างที่กล่าวเอาไว้ได้ และสายตาของเฉิงสวี่ที่มองนางยิ่งทำให้นางรู้สึกขนลุกชันขึ้นด้วยความหวาดกลัว อยากจะวิ่งหนีไปโดยสัญชาตญาณ
เฉิงสวี่เห็นสีหน้าของนางซีดเผือดลง ก็ให้รู้สึกละอายอย่างช่วยไม่ได้ หลังจากที่หันไปส่งสายตาตำหนิต้าซูคนข้างกายของตนเองสายหนึ่งแล้ว จึงยิ้มพลางกล่าวกับโจวเสาจิ่นว่า “น้องสาว ทำให้เจ้ากลัวแล้วใช่หรือไม่ ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นความผิดของข้า ข้าเองก็ไม่คิดมาก่อนว่าจะมีคนออกมาจากป่าไผ่กะทันหันเช่นนี้ ข้าต้องขออภัยน้องสาวด้วย” ขณะที่เขาพูดนั้น ก็หันไปโค้งตัวให้โจวเสาจิ่นพลางกล่าว “น้องสาวรีบหายโกรธเถอะนะ!”
ทว่าโจวเสาจิ่นกลับหวาดกลัวจนก้าวถอยหลังไม่หยุดไปหลายก้าว จนกระทั่งมีเสียงกิ่งไม้หักดังขึ้นที่ใต้ฝ่าเท้า ถึงทำให้นางดึงสติกลับมาได้
ไม่กลัวๆ!
ยังไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น!
ข้าสามารถช่วยเหลือตระกูลเฉิงได้อย่างแน่นอน!
นางปลอบโยนตัวเองไม่หยุด รีบกล่าวออกไปประโยคหนึ่งว่า “ข้าเองก็เพียงผ่านมาทางป่าไผ่เท่านั้น” ก้าวเท้าวิ่งไปยังทางเดินเล็กๆ ด้านขวา แม้แต่เส้นทางก็ไม่ได้สอบถาม
“เฮ้!” เฉิงสวี่ตะโกนไล่หลังของนางไปว่า “เดินไปตามทางเดินเล็กเส้นตรงกลาง ถึงโค้งก็จะเป็นประตูหลังของเรือนหลัก”
โจวเสาจิ่นชะงักเท้าเล็กน้อย ครุ่นคิด สุดท้ายก็เลือกทางเดินเล็กเส้นตรงกลาง
เฉิงสวี่มองแล้วก็ยกยิ้มขึ้นมาที่มุมปาก
เดินไม่ถึงระยะหนึ่งลูกศร โจวเสาจิ่นก็มองเห็นมุมเลี้ยวหนึ่ง เมื่อผ่านไปแล้วก็เป็นประตูหลังของเรือนหลัก พื้นที่ล้อมรอบล้วนปลูกเอาไว้ด้วยต้นไผ่


VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน