เสียงพูดของซางมามาเพิ่งจะสิ้นสุดลง ก็มีเสียงเคลื่อนไหวดังมาจากเรือนหลัก
ปี้อวี้ยิ้มร่าขณะเลิกผ้าม่านขึ้นส่งฮูหยินท่าทางอายุประมาณสามสิบสี่สามสิบห้าปีผู้หนึ่งเดินออกมา
ฮูหยินผู้นั้นสูงปานกลาง รูปร่างเจ้าเนื้อสมบูรณ์ ผิวขาวละเอียด สวมชุดเพ่ยจื่อผ้าเนื้อละเอียดสีฟ้าตัวหนึ่ง หน้าตาดูอ่อนน้อมว่านอนสอนง่าย ส่งสัญญาณทางสีหน้าบอกปี้อวี้ว่าส่งแค่นี้ก็พออย่างใจดี
โจวเสาจิ่นคาดเดาว่านางน่าจะเป็นฮูหยินเก้าของตระกูลกู้ผู้นั้น
ปี้อวี้กล่าวซ้ำๆ ไม่หยุดว่า “มิกล้าเจ้าค่ะ” เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นโจวเสาจิ่น
นางหันมายิ้มให้โจวเสาจิ่น
ฮูหยินกู้ที่เก้ามีสายตาแหลมคมยิ่งหันมามองตามสายตาของปี้อวี้
อาจจะเพราะรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย สายตาที่นางมองโจวเสาจิ่นจึงเผยความประหลาดใจและถูกดึงดูดออกมาให้เห็นเล็กน้อย ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งถึงได้หันมาพยักหน้าให้โจวเสาจิ่น แล้วออกจากเรือนหานปี้ซานไปโดยมีปี้อวี้เดินไปส่ง
โจวเสาจิ่นเข้าไปในเรือนหลัก
สีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่ากัวดูอ่อนล้าเล็กน้อย กำลังหลับตาลงโดยมีหมาเหน่าช่วยนวดขมับให้นางไปด้วย
โจวเสาจิ่นรีบกล่าวขึ้นว่า “ข้ามาแล้วเจ้าค่ะ!”
หมาเหน่ามองฮูหยินผู้เฒ่ากัวอย่างลังเลไปครั้งหนึ่ง ใครจะรู้ว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวกลับกล่าวขึ้นโดยไม่ได้ลืมตาว่า “ให้เสาจิ่นนวดให้ข้าก็แล้วกัน!”
โจวเสาจิ่นยิ้มขณะเดินเข้าไปรับช่วงต่อจากหมาเหน่า
นางไม่ได้ไว้เล็บยาว นิ้วผอมเรียวทว่าไม่ได้ผอมโกรกจนเห็นกระดูก กลับกันมันค่อนข้างนุ่มละมุน นวดจนทำให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวรู้สึกสบายยิ่งนัก ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงลืมตาขึ้นมากล่าวยิ้มๆ ว่า “เจ้ามาตั้งแต่เมื่อใด”
โจวเสาจิ่นนั่งลงบนเก้าอี้อย่างเรียบร้อย กล่าวขึ้นว่า “มาได้ครู่หนึ่งแล้วเจ้าค่ะ เห็นฮูหยินกู้ที่เก้ากำลังสนทนากับท่านอยู่ จึงไปดื่มชาที่ห้องน้ำชา ได้พบท่านน้าฉือที่นั่น จึงได้คุยกับท่านน้าฉืออยู่ครู่หนึ่งด้วยเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวยิ้มๆ ว่า “ถึงว่าบนร่างของเจ้ามีกลิ่มหอมอ่อนๆ ของน้ำหอม ‘ดั่งที่ได้ยินมา’ อยู่ด้วย’”
โจวเสาจิ่นงุนงงไปเล็กน้อย ผ่านไปครู่หนึ่งหน้าถึงได้ขึ้นสีแดงเรื่อ
ต้องติดมาตอนที่นางโผตัวเข้าไปอยู่ในอ้อมอกของท่านน้าฉือตอนนั้นเป็นแน่
นางลอบชำเลืองมองฮูหยินผู้เฒ่ากัวครั้งหนึ่ง
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวถือกระจกบานหนึ่งกำลังจัดแต่งทรงผมอยู่พอดี จึงไม่ได้สังเกตเห็นความผิดปกติของนาง
โจวเสาจิ่นรู้สึกโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง แต่ก็ไม่รู้ว่าควรจะกล่าวอะไรดี ได้แต่ถามฮูหยินผู้เฒ่ากัวว่า “ท่านต้องการให้ข้าช่วยหรือไม่เจ้าคะ”
“ไม่ต้องแล้ว!” ฮูหยินผู้เฒ่ากัววางกระจกบานนั้นลงบนโต๊ะเล็กที่อยู่ข้างๆ ถอนหายใจกล่าวว่า “ข้ารู้สึกไม่ค่อยสบายใจเท่าไร คนอย่างอาจารย์ชิงหงผู้นั้น เพื่อชื่อเสียงแล้วทายาทรุ่นหลังของเขาถึงกับมีปัญหากัน ข้าคิดๆ แล้วก็เสียดายแทนอาจารย์ชิงหง”
ตอนอยู่บนเรือฮูหยินผู้เฒ่าพูดถึงข้อพิพาทบาดหมางของตระกูลผู้มีอิทธิพลต่างๆ ให้โจวเสาจิ่นฟังไม่น้อย ตอนนี้นางฟังแล้วก็พอจะเข้าใจสิ่งที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวได้ไม่มากก็น้อย
นางยกน้ำชาที่สาวใช้ยกเข้ามาให้ไปวางเบื้องหน้าฮูหยินผู้เฒ่ากัว กล่าวยิ้มๆ ว่า “บรรดาอาจารย์หญิงที่สอนหนังสือต่างพูดว่า เรื่องราวต่างๆ ภายใต้ผืนฟ้านี้ อยู่รวมกันนานไปก็ต้องแยกจาก แยกจากกันนานไปก็ต้องมารวมกันมิใช่หรือเจ้าคะ เวลาผ่านไปนานวันเข้า มีตระกูลใดบ้างที่ไม่แยกบรรพบุรุษ ต่อให้ไม่แยกบรรพบุรุษ โดยมากก็จะถูกทางการจับตามอง ขอเพียงบุตรหลานใช้ชีวิตอยู่ในกรอบของตระกูลอย่างขาวสะอาด ไม่ทำลายชื่อเสียงของบรรพบุรุษก็ถือว่าดีมากแล้วเจ้าค่ะ!”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวพยักหน้า พลางกล่าว “ทำไมข้าจะไมรู้ เพียงแต่รู้สึกไม่ค่อยสบายใจเล็กน้อยก็เท่านั้น!”
โจวเสาจิ่นจึงกล่าวยิ้มๆ ว่า “หรือไม่ ข้าออกไปเดินเล่นเป็นเพื่อนท่านดีหรือไม่ ดอกไม้ในสวนต่างเบ่งบานกันหมดแล้ว งดงามเป็นอย่างยิ่งเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวลังเลใจเล็กน้อย
โจวเสาจิ่นจึงดึงมือของฮูหยินผู้เฒ่ากัวเอาไว้ “ท่านลองไปดูเถิดเจ้าค่ะ! งดงามยิ่งนัก!”
ในน้ำเสียงแฝงความออดอ้อนเอาไว้หลายส่วน
ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวนึกถึงเฉิงเซิงที่เติบโตขึ้นมาจากการเลี้ยงดูของนางมาตั้งแต่เล็กๆ ขึ้นมาในทันใด
แต่โจวเสาจิ่นก็ไม่เหมือนเฉิงเซิง
ยามเฉิงเซิงออดอ้อนจะแฝงความเอาแต่ใจอยู่ด้วยเล็กน้อย ส่วนโจวเสาจิ่นกลับแฝงเอาไว้ด้วยความอ่อนหวานอยู่หลายส่วน
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวรู้สึกอารมณ์ดีขึ้นอย่างไม่ทราบสาเหตุ
นางจับมือของโจวเสาจิ่นเอาไว้แล้วลุกขึ้นยืน กล่าวยิ้มๆ ว่า “ก็ได้ พวกเราไปนั่งดื่มชาในสวนดอกไม้กัน!”
โจวเสาจิ่นเม้มปากยิ้ม
สื่อมามารีบก้มหน้าลง
นางกลัวว่าผู้อื่นจะสังเกตเห็นความประหลาดใจของนาง
กี่ปีแล้วที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวไม่ได้ปล่อยตัวสบายๆ เช่นนี้?
คิดไม่ถึงว่าคุณหนูเล็กๆ ผู้หนึ่งจะทำให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเปลี่ยนความคิดได้
ดูทีแล้วเมื่อก่อนตนคงจะดูเบาคุณหนูรองตระกูลโจวมากเกินไปเสียแล้ว
นางรีบสั่งการให้สาวใช้เด็กนำผ้าเช็ดหน้า กาน้ำชา หมอนอิง เบาะนั่งและอื่นๆ ตามฮูหยินผู้เฒ่ากัวและโจวเสาจิ่นไปที่สวนดอกไม้
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวและโจวเสาจิ่นนั่งรับลมอยู่ในศาลาริมน้ำ จิบน้ำชาพร้อมกับกินขนมไปด้วย พลางเอ่ยถึงเรื่องของตระกูลกู้กับนางขึ้นมาว่า “…เนื่องจากไม่อนุญาตให้สร้างบ้านส่วนตัว เงินที่ได้มาเป็นของทุกคน บ้านที่มีบัณฑิตย่อมไม่แสดงความเห็นอะไร แต่บ้านที่ไม่มีบัณฑิตรู้สึกว่าไม่ยุติธรรม ให้ข้าไปช่วยพูด ข้าจะพูดอะไรได้ ในเมื่อนี่เป็นเรื่องของตระกูลกู้ของพวกเขา”
โจวเสาจิ่นรู้ว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวปวดหัวกับเรื่องของตระกูลกู้เป็นอย่างมาก เพียงต้องการใครสักคนมาคุยด้วยเท่านั้น แล้วก็ไม่ได้ต้องการให้นางช่วยแสดงความคิดเห็นด้วย เพียงนั่งฟังอยู่ข้างๆ อย่างอ่อนโยน แล้วก็อาจจะถามขึ้นอย่างสงสัยใคร่รู้ว่า “เพราะอะไรหรือเจ้าคะ” เป็นครั้งคราว ไม่ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวรู้สึกถึงความเย็นชาไม่ใส่ใจ แล้วก็ไม่ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวรู้สึกว่ากระตือรือร้นมากเกินไปเท่านั้น
ทั้งสองคนนั่งคุยกันอยู่ในศาลาริมน้ำไปตลอดทั้งบ่าย
ซางมามาเข้ามาดูสองครั้ง เห็นโจวเสาจิ่นและฮูหยินผู้เฒ่ากัวคุยกันอย่างสนุกสนาน ก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกไปครั้งหนึ่งอย่างอดไม่ได้
นี่หากว่าปล่อยให้คุณหนูรองไปหาถึงที่เรือนหลีอิน แล้วพบว่านายท่านสี่ไม่อยู่บ้าน ย่อมต้องไม่สบายใจเป็นแน่ ถึงเวลานั้นคนที่จะต้องเดือดร้อนก็คือคนที่รับใช้อยู่ข้างกายอย่างพวกนางเหล่านี้นั่นเอง
ไม่รู้ว่าเมื่อใดจี๋อิ๋งถึงจะกลับมา
คุณหนูรองชอบมาเที่ยวเล่นกับจี๋อิ๋ง ถ้าจี๋อิ๋งอยู่ เวลานายท่านสี่ออกไปทำธุระ คุณหนูรองก็จะได้ไปเล่นกับจี๋อิ๋งได้ คนข้างกายอย่างพวกเขาเหล่านี้ก็จะได้ไม่ต้องรับมือกับคุณหนูรองบ่อยนัก
แต่เร็วๆ มานี้นอกจากนายท่านสี่จะทำการสังหารคนที่เจียงหูแล้ว ยังไปพบตระกูลที่มีอิทธิพลและเป็นผู้นำด้านวรยุทธ์ในเจียงหูที่ไม่ได้ติดต่อกันมาหลายปีเหล่านั้นอีกด้วย ให้กลิ่นอายของการต่อสู้ในเจียงหูอยู่บ้างเล็กน้อย เรื่องที่จี๋อิ๋งไปทำต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้แปดถึงเก้าในสิบส่วนเป็นแน่…
ซางมามาลอบครุ่นคิด กระทั่งถึงเวลาจุดตะเกียงยามเย็นเฉิงถึงได้กลับเข้ามาจากข้างนอก
สีหน้าของเขาดูมีความสุข ส่วนไหวซานที่ตามอยู่ด้านหลังของเขาหอบกล่องไม้จันทน์แดงเอาไว้กล่องหนึ่ง
ซางมามารีบก้าวออกไปทำความเคารพ
เฉิงฉือถามนาง “คุณหนูรองกลับออกไปเวลาใด หลังจากที่ข้าออกไปแล้ว คุณหนูรองทำอะไรบ้าง”
VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน