สุดท้ายเฉิงเวิ่นสองสามีภรรยาก็ถูกฉินจื่ออันออกหน้ามา ‘ส่ง’ ทั้งสองคนกลับจวนห้าไป
แต่เมื่อเรื่องวุ่นวายครั้งนี้ผ่านไป จากจวนห้าผ่านจวนสี่จนถึงจวนหลักอีกครั้ง ทั้งซอยจิ่วหรูจึงไม่มีใครที่ไม่ทราบเรื่องนี้
เฉิงซวี่ท่านผู้นำตระกูลจวนรองออกหน้าเรียกเฉิงเวิ่นไปตำหนิครั้งหนึ่ง ส่วนฮูหยินใหญ่เวิ่นก็ไม่ได้ถูกปล่อยไป ถูกส่งตัวมาที่เรือนหานปี้ซาน ตามเจตนาของเฉิงซวี่ก็คือ ให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเอา ‘บัญญัติสอนหญิง’ ออกมาอ่านให้ฮูหยินใหญ่เวิ่นฟังสองรอบ
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวแสยะยิ้มเย็น ให้ฮูหยินใหญ่เวิ่นคุกเข่าอยู่ตรงโถงทางเดิน สั่งให้เฝ่ยชุ่ยไปหยิบ ‘บัญญัติสอนหญิง’ เล่มนั้นมาอ่านให้นางฟังสองรอบ
ไม่ว่าอย่างไรฮูหยินใหญ่เวิ่นก็เป็นเจ้านาย ไหนเลยจะถึงคราวของนางที่เป็นเพียงบ่าวไร้ค่าผู้หนึ่งกัน
เฝ่ยชุ่ยตกใจจนหน้าถอดสี ดวงตาฉายแววอ้อนวอนนั้นร่วงไปอยู่บนร่างของโจวเสาจิ่น อยากจะให้โจวเสาจิ่นช่วยพูดให้นางต่อหน้าฮูหยินผู้เฒ่ากัวสักประโยค
ปี้อวี้มีสายตาแหลมคม เห็นแล้วลอบด่าเฝ่ยชุ่ยในใจเสียงหนึ่งว่า เลอะเลือน ครั้งหนึ่งอย่างอดไม่ได้ รีบก้าวออกไปบังสายตาของนางเอาไว้ กล่าวกับฮูหยินผู้เฒ่ากัวอย่างนอบน้อมว่า “ฮูหยินผู้เฒ่า ท่านว่า ควรจะยกม้านั่งมาให้ฮูหยินใหญ่เวิ่นสักตัวดีหรือไม่เจ้าคะ แม้นจะกล่าวว่าพระอาทิตย์ในฤดูใบไม้ผลิจะไม่แผดเผาผู้คน แต่เมื่อฉายกระทบลงบนใบหน้าแล้วก็ง่ายที่จะเกิดฝ้ากระได้…”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวไม่มีความคิดจะยกโทษให้ฮูหยินใหญ่เวิ่นเลยแม้แต่นิดเดียวอยู่แล้ว ไม่รอให้ปี้อวี้กล่าวจบ ก็เอ่ยขึ้นก่อนว่า “ก็ให้นางคุกเข่าฟังไปเช่นนั้น แม้แต่บ่าวสูงวัยของข้านางยังกล้าตี หากข้าไม่สั่งสอนนางสักหน่อย เกรงว่านางคงไม่รู้แล้วว่าตัวเองชื่อแซ่อะไร!”
ปี้อวี้ถือโอกาสนี้หยิกเฝ่ยชุ่ย กล่าวขึ้นว่า “เช่นนั้นข้ากับเฝ่ยชุ่ยออกไปก่อนนะเจ้าคะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าพยักหน้า สีหน้าสงบลงเล็กน้อย
โจวเสาจิ่นเอ่ยเกลี้ยกล่อมนางเสียงนุ่มว่า “ท่านป้าใหญ่เวิ่นเป็นคนอารมณ์ร้อนหุนหันพลันแล่นผู้หนึ่ง คนในซอยจิ่วหรูต่างทราบกันดี หากท่านโกรธนางจนทำลายสุขภาพของตัวเองเช่นนั้นจะไม่คุ้มค่าเลยเจ้าค่ะ ไม่แน่ว่าท่านป้าใหญ่เวิ่นอาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าท่านกำลังโกรธอยู่!”
“ด้วยเหตุนี้ข้าก็เลยคร้านที่จะคุยกับนางให้มากความอีก” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเห็นนางอ่อนโยนและว่าง่าย ความกรุ่นโกรธก็ทุเลาลง กล่าวขึ้นว่า “เพียงสั่งสอนนางสักหน่อยเท่านั้น”
แต่ก็หยาบกระด้างมากเกินไปแล้ว
นี่ต่อไปจะให้ฮูหยินใหญ่เวิ่นมีหน้ามาที่จวนหลักอีกได้อย่างไร
อย่างไรก็ตาม ไม่แน่ว่านี่อาจเป็นเจตนาของฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็เป็นได้
โจวเสาจิ่นครุ่นคิด ขณะปอกลูกสาลี่ให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวลูกหนึ่ง
ทางด้านของปี้อวี้เมื่อออกมาจากห้องโถงแล้วก็กระซิบข้างหูเฝ่ยชุ่ยว่า “ไม่ว่าเจ้ามีเรื่องอะไรก็ห้ามลากคุณหนูรองลงน้ำไปด้วยเป็นอันขาด เมื่อวานเจ้าไม่เห็นหรือฮูหยินใหญ่เวิ่นเพียงดึงคุณหนูรองมาเกี่ยวข้องด้วยประโยคเดียว ฮูหยินผู้เฒ่าก็สั่งขายมามาข้างกายฮูหยินใหญ่เวิ่นผู้นั้นพร้อมด้วยครอบครัวของนางทั้งหมดแล้ว นั่นก็เพราะว่าฮูหยินผู้เฒ่าไม่ชอบที่มีคนคิดจะใช้ประโยชน์จากคุณหนูรอง”
เฝ่ยชุ่ยเองก็พอจะรู้สึกได้อยู่รางๆ เหมือนกัน แต่นางรู้สึกว่าโจวเสาจิ่นเป็นคนจิตใจดีอ่อนโยนผู้หนึ่ง หากเสนอตัวช่วยเหลือนาง ฮูหยินผู้เฒ่าก็น่าจะไม่ว่าอะไร
ตอนนี้กลับทำได้แต่ยิ้มอย่างขมขื่น
แต่ไหนแต่ไรมาปี้อวี้เข้ากับคนได้เก่งกว่านาง หากแม้แต่ปี้อวี้ยังดูออก แล้วก็ยังนำความมาเผยให้นางรู้แล้ว ถ้านางยังจะขอโจวเสาจิ่นให้ช่วยอีก ปี้อวี้ต้องเข้าใจว่านางมีเจตนาอื่น แล้วก็คงจะไม่ช่วยเหลือนางอีกเป็นแน่
“เช่น…เช่นนั้นจะให้ข้าอ่าน ‘บัญญัติสอนหญิง’ ให้ฮูหยินใหญ่เวิ่นฟังเช่นนี้น่ะหรือ” เฝ่ยชุ่ยคิดๆ แล้วน่องขาก็สั่นเล็กน้อย
ปี้อวี้กล่าวอย่างไม่ชอบใจว่า “เจ้าจะกลัวอะไร! ในเมื่อเป็นคำสั่งของฮูหยินผู้เฒ่า หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นฮูหยินผู้เฒ่าจะผลักเจ้าออกมาหรืออย่างไร เจ้าดูแม่นางจี๋อิ๋ง ตีคุณชายรองอี้แล้วก็เหมือนกับไม่ได้ตี ถึงแม้จะบอกว่านายหญิงผู้เฒ่าของจวนสี่เป็นคนเที่ยงธรรม แต่สุดท้ายก็เป็นหลานชายของตัวเอง จะไม่โกรธแม้แต่นิดเดียวได้จริงๆ หรือ กล่าวไปกล่าวมาแล้ว ก็เพราะนายท่านสี่ไม่ยอมอ่อนข้อให้ และจวนสี่เองก็ไม่อยากทำให้กลายเป็นเรื่องราวใหญ่โตให้ผู้อื่นขำขันเห็นเป็นเรื่องตลก เจ้าเพียงไปอ่าน ‘บัญญัติสอนหญิง’ ของเจ้าอย่างวางใจก็พอ”
เฝ่ยชุ่ยพึมพำกล่าวอย่างอดไม่ได้ว่า “หากรู้เช่นนี้แต่เนิ่นๆ เริ่มแรกข้าก็คงจะไม่ตั้งใจเรียนเขียนอ่านอย่างหนักกับพวกพี่สาวแล้ว”
ปี้อวี้ปิดปากหัวเราะ
เฝ่ยชุ่ยกลับถอดใจ ตัดสินใจว่าประเดี๋ยวจะไปปรึกษาสื่อมามาเรื่องแต่งงานออกไปให้เร็วขึ้นสักหน่อย
ฮูหยินใหญ่เห็นเฝ่ยชุ่ยถือ ‘บัญญัติสอนหญิง’ เดินเข้ามาเพียงผู้เดียว นางจึงยังพอมีหวังในโชคอยู่หลายส่วน รอจนกระทั่งเฝ่ยชุ่ยบอกจุดประสงค์การมาอย่างชัดเจน และเริ่มอ่าน ‘บัญญัติสอนหญิง’ นางก็โกรธจนเป็นลมล้มพับลงไปในทันที
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวให้คนใช้เกี้ยวแบบนุ่มนำตัวฮูหยินใหญ่เวิ่นส่งไปให้นายหญิงผู้เฒ่าถังที่จวนรอง บอกว่า “หลานสะใภ้อี๋ก็มาจากตระกูลบัณฑิต เช่นนั้นก็ให้นางช่วยอ่าน ‘บัญญัติสอนหญิง’ นี้ให้หลานสะใภ้เวิ่นฟังก็แล้วกัน”
นายหญิงผู้เฒ่าถังมองฮูหยินใหญ่เวิ่นที่เป็นลมล้มพับไปแล้วอย่างไม่มีทางเลือก ได้แต่นำตัวคนไปพักที่ห้องรับรองแขก
จนกระทั่งฮูหยินใหญ่เวิ่นฟื้นขึ้นมา ก็สะอื้นไห้พร้อมกับพร่ำบ่นไปด้วยว่า “…เป็นเพียงคุณหนูที่มาอาศัยอยู่ใต้ชายคาผู้อื่นคนหนึ่งเท่านั้น แล้วข้าก็ไม่ได้ว่ากล่าวอะไรเลย มันคุ้มค่ากับการเอาตัวมามาข้างกายของข้าขายออกไปแล้วหรือ ข้านับถือนางเป็นดังผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านจึงไม่พูดอะไรเลยแม้สักประโยค แต่นางก็ดี กลับให้บ่าวสาวมาอ่าน ‘บัญญัติสอนหญิง’ ให้ข้าฟัง เวลานั้นข้ายังคุกเข่าอยู่ใต้โถงทางเดินอยู่เลยเจ้าค่ะ! นางไม่ได้มองว่าข้าเป็นหลานสะใภ้เลยสักนิด!”
ไม่ได้มองว่านางเป็นหลานสะใภ้เลยสักนิด
คำพูดประโยคนี้สะกิดใจนายหญิงผู้เฒ่าถัง
นายหญิงผู้เฒ่าถังกล่าวขึ้นว่า “นิสัยของป้าสะใภ้ใหญ่ของเจ้าก็เป็นอย่างนั้น มิใช่ว่าเจ้าไม่รู้ เจ้าจะไปรบกวนนางทำไม ยังทำร้ายบ่าวสูงวัยคนเฝ้าประตูของนางจนบาดเจ็บอีก ครั้งนี้ย่อมเป็นเจ้าที่ทำไม่ถูก เจ้ายังกล้ามาพูดจาเลื่อนเปื้อนต่อหน้าข้าอีก ไม่ต้องพูดถึงเจ้า แม้แต่ข้า ยามเผชิญหน้ากับสะใภ้ร่วมบ้านผู้นี้ ไม่ว่าจะพูดหรือกระทำอะไรก็ต้องยอมลงให้หลายส่วนเหมือนกัน เจ้าก็อย่าขุ่นเคืองอีกเลย โกรธไปก็ทำลายตัวเองทั้งนั้น!” ขณะที่กล่าวก็ยื่นผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งไปให้นางเช็ดน้ำตา ยังปรารถนาจะว่ากล่าวนางอีกสักสองสามประโยค แต่ใครจะรู้ว่าเฉิงอวี่มาคารวะนางหลังเลิกเรียน นายหญิงผู้เฒ่าถังจึงได้แต่กล่าวปลอบโยนนางไม่กี่ประโยค แล้วกลับไปที่เรือนหลัก
ปีนี้เฉิงอวี่อายุสิบเจ็ดปี ปีเดียวกันกับเฉิงอี้ของจวนสี่ ทว่าอ่อนกว่าเฉิงนั่วของจวนห้าหนึ่งปี รูปร่างหน้าตาหล่อเหลางามสง่าประหนึ่งดอกกล้วยไม้และต้นอวี้ซู่[1] โดยเฉพาะดวงตาเฉี่ยวของนกตันเฟิ่ง[2]คู่นั้น เหมือนกันกับของนายหญิงผู้เฒ่าถังราวกับถอดแบบกันมาไม่มีผิด ทำให้นายหญิงผู้เฒ่าถังเห็นแล้วโปรดปรานยิ่งนัก บวกกับที่เฉิงอวี่เป็นหลานชายคนเล็ก ไม่ต้องรับผิดชอบกิจการงานของครอบครัว นายหญิงผู้เฒ่าถังตามใจเขาก็ไม่มีอะไรให้น่าหนักใจ ด้วยเหตุนี้ยามพูดอะไรต่อหน้านายหญิงผู้เฒ่าถังจึงได้ผลชะงัดมากกว่าใครๆ เลี้ยงดูจนเขากลายเป็นคนที่มีนิสัยค่อนข้างเอาแต่ใจและอ่อนต่อโลกไปเสีย
เขายิ้มขณะก้าวออกมาทำความเคารพนายหญิงผู้เฒ่าถัง จากนั้นก็ไปติดหนึบอยู่หลังนายหญิงผู้เฒ่าถัง ถามถึงเรื่องของจวนห้าขึ้นมา “…ได้ยินมาว่าท่านย่าของจวนหลักให้สาวใช้ผู้หนึ่งอ่าน ‘บัญญัติสอนหญิง’ ให้ท่านอาสะใภ้เวิ่นห้าฟัง เป็นเรื่องจริงหรือขอรับ ท่านอาสะใภ้เวิ่นห้าช่างน่าสงสารยิ่ง ข้าได้ยินแล้วยังโกรธเป็นอย่างมากเลย แต่พี่ชายนั่วกลับเสมือนกับคนที่ไม่เป็นอะไร พูดอะไรทำนองว่าถึงแม้เขาจะไม่อยากแต่งกับหลานสาวของสตรีที่อยู่ข้างนอกผู้นั้น แต่ก็ไม่อยากแต่งกับญาติผู้น้องของเขาเหมือนกัน เห็นว่าญาติผู้น้องของเขากับท่านอาสะใภ้เวิ่นห้าหน้าตาเหมือนกันราวกับเป็นแม่ลูกกันก็ไม่ปาน เขาเห็นแล้วก็ขยาดยิ่งนัก!”
นายหญิงผู้เฒ่าถังตีเฉิงอวี่ครั้งหนึ่งด้วยอาการหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ กล่าวขึ้นว่า “พูดจาไร้สาระ! หน้าตาเหมือนกันราวกับเป็นแม่ลูกกันก็ไม่ปานอะไรกัน เจ้ารู้เอาไว้ ต่อไปห้ามพูดจาเช่นนี้อีก”



VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน