ถึงแม้เฉิงฉือจะอยากขีดเส้นกั้นกับตระกูลเฉิงให้ชัดเจน แต่ก็ไม่ยินดีให้ญาติพี่น้องร่วมสายเลือดของตัวเองต้องถูกลงทัณฑ์ทั้งตระกูล
เขามองไหวซานและคนอื่นๆ ที่เดินเรียงกันออกไปจากห้องหนังสือ พลางจมดิ่งเข้าสู่ห้วงความคิด
การที่ตระกูลเฉิงถูกลงทัณฑ์ ต้องเป็นความคิดของฮ่องเต้พระองค์ใหม่อย่างแน่นอน ต่อให้มิใช่ความคิดของฮ่องเต้พระองค์ใหม่ ก็คงจะเป็นเพราะฮ่องเต้พระองค์ใหม่ได้รับการยั่วยุจากคนที่มีเจตนา อย่างน้อยฮ่องเต้ในเวลานั้นก็เป็นผู้ตัดสินพระทัยว่าต้องการทำลายตระกูลเฉิงทั้งตระกูล
การดำเนินการของทางการค่อนข้างเชื่องช้าเสมอมา โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการฆ่าล้างตระกูลเช่นนี้ ล้วนแล้วแต่กลัวว่า ‘ไม่ว่าไฟป่าจะเผาไหม้เพียงใด แต่เมื่อลมวสันต์โชยมาย่อมเกิดต้นกล้าใหม่ทั่วทุกที่’ กล่าวคือ มีคนมาช่วยคนที่จะถูกกุดหัวออกไป จากนั้นภาระหนี้ก็จะถูกโยนมาไว้บนศีรษะของตัวเอง สร้างศัตรูเอาไว้ในที่ลับให้ตัวเองผู้หนึ่ง แต่จากสิ่งที่โจวเสาจิ่นกล่าวมานั้น ตระกูลเฉิงล้มลงอย่างรวดเร็วยิ่งนัก กระทั่งว่าทรัพย์สินของตระกูลยังไม่ทันได้ถูกตรวจสอบและยึดทรัพย์เลย บุรุษของตระกูลเฉิงก็ถูกกุดศีรษะจนหมดแล้ว
นี่ค่อนข้างจะไม่เป็นไปตามหลักปกตินัก
สำเร็จโทษยกตระกูล แต่ก่อนจะลงโทษก็น่าจะยึดทรัพย์สินของตระกูลก่อน
เห็นได้ชัดว่าฮ่องเต้พระองค์ใหม่มีพระประสงค์ให้คนของตระกูลเฉิงตาย
สาเหตุใดกันที่ทำให้ฮ่องเต้พระองค์ใหม่มีพระประสงค์ให้คนตระกูลเฉิงตายถึงเพียงนั้น
เฉิงฉือลุกขึ้น เดินวนไปมาอยู่ภายในห้องหนังสือ
องค์ชายสี่คือฮ่องเต้พระองค์ใหม่ในอนาคต
องค์ชายสี่ผู้นี้ปกติแล้วเป็นคนที่ไม่โดดเด่นในบรรดาเหล่าองค์ชาย ก่อนหน้านี้เฉิงฉือไม่เคยข้องแวะกับเขามาก่อน
ไปจิงเฉิงคราวนี้ เกรงว่าคงต้องทำความรู้จักองค์ชายสี่ผู้นี้สักหน่อยเสียแล้ว
ว่าเขามีนิสัยเป็นเช่นไร มีงานอดิเรกอะไรบ้าง มีตรงส่วนไหนที่ตระกูลเฉิงอาจไปทำให้เขาขุ่นเคืองหรือไม่ชอบพอพระทัย…เฉิงฉือคิดว่าตนควรต้องไปสืบให้ละเอียดทั้งหมดสักครั้ง โดยเฉพาะพี่ชายใหญ่และพี่ชายรองที่อยู่ที่จิงเฉิง หลายปีมานี้ทำอะไรบ้าง คนที่ผูกมิตรหรือข้องแวะด้วยเป็นคนเช่นไร รวมถึงที่ปรึกษาและผู้ช่วยข้างกายพวกเขา ล้วนต้องตรวจสอบให้ละเอียดสักครั้งหนึ่ง
ทางด้านของท่านอารอง…ก็ต้องตรวจสอบด้วยเช่นกัน
นี่ต้องใช้คนเป็นจำนวนมาก
ควรจะดึงพรรคกระยาจกมาร่วมด้วยดีหรือไม่
สายข่าวของพวกเขารวดเร็วที่สุดแล้ว
จางต้าหนิวเป็นหัวหน้าพรรคกระยาจกทางใต้ ไม่รู้ว่าผู้ใดเป็นหัวหน้าพรรคกระยาจกทางเหนือ เรื่องนี้มอบหมายให้ฉินจื่ออันไปจัดการดีที่สุด
ส่วนเรื่องไปอยู่จิงเฉิงสักระยะหนึ่งนั้น…รอให้เฉิงเจียซ่านกับหญิงสาวตระกูลหมิ่นหมั้นหมายกัน ไม่มีผู้ใดมาเอาเปรียบเสาจิ่นได้แล้วค่อยไปจะดีที่สุด เช่นนี้เขาก็จะได้ไปอยู่จิงเฉิงได้อย่างสบายใจด้วย
พอคิดมาถึงตรงนี้ เขานั่งลงบนเก้าอี้หน้าโต๊ะหนังสืออีกครั้ง เขียนจดหมายฉบับหนึ่งให้ฉินจื่ออันส่งไปที่เขาจงหนาน “…ขอให้พระอาจารย์อวิ๋นเฮ่อจื่อช่วยแนะนำให้เจ้ารู้จักกับคนของพรรคกระยาจกทางเหนือ”
ฉินจื่ออันรับจดหมายไปใส่ไว้ในแขนเสื้อเงียบๆ
เฉิงฉือถามเขา “บาดแผลของจี๋อิ๋งเป็นอย่างไรบ้างแล้ว”
“ภายในครึ่งปีนี้ห้ามต่อสู้กับผู้ใดจะดีที่สุดขอรับ”
เฉิงฉือพยักหน้า เป็นสัญญาณให้เขาออกไปได้
ไหวซานมาขอพบอยู่หน้าประตู
เฉิงฉือให้เขาเข้ามา
ไหวซานกล่าว “เมื่อครู่ป้าซางบอกข้าว่า ตอนที่พวกเราออกไปข้างนอกนั้นคุณหนูรองมักจะมาสืบข่าวของท่านที่เรือนหลีอินบ่อยๆ อีกทั้งคุณหนูรองยังเฉลียวฉลาด ป้าซางรู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก นางถามว่าให้แม่นางจี๋อิ๋งรั้งอยู่ที่บ้าน อยู่เป็นเพื่อนคุณหนูรองได้หรือไม่ อย่างไรเสียช่วงนี้แม่นางจี๋อิ๋งก็ต่อสู้กับผู้ใดไม่ได้…”
“ได้!” ไม่รอให้เขาพูดจบ เฉิงฉือก็กล่าวเข้าประเด็นก่อนว่า “ที่กลุ่มเดินสมุทรไปสร้างความวุ่นวายให้ตระกูลจี้ในครั้งนี้ เดิมทีข้าไม่เห็นด้วยให้จี๋อิ๋งออกหน้า แต่นายท่านใหญ่ของตระกูลจี้ยืนกรานว่าต้องการทดสอบฝีมือของจี๋อิ๋ง ข้าจึงไม่อาจขัดขวาง ในเมื่อตอนนี้ตระกูลจี้ก็รู้ระดับฝีมือของจี๋อิ๋งแล้ว ต่อไปเรื่องข้างนอกพวกนั้นก็ไม่ต้องให้จี๋อิ๋งเข้าไปข้องเกี่ยวด้วยอีก ให้พักฟื้นอยู่ที่บ้าน ไม่แน่ว่าวิชาดาบของนางอาจจะรุดหน้ามากขึ้นก็เป็นได้”
“ขอรับ!” ไหวซานขานรับคำอย่างนอบน้อม แล้วถอยออกไป
ภายในห้องจึงเงียบเชียบขึ้นมา
ลมพัดพาให้ใบไม้ส่งเสียงดังซู่ๆ
เฉิงฉือเดินไปที่หน้าต่าง
กิ่งก้านใบของต้นไม้ที่เรือนหลีอินอุดมสมบูรณ์ สีเขียวเข้มมันวาว เขียวอ่อน เขียวอ่อนแกมเหลือง เขียวเข้ม…สีเขียวทุกประเภทมารวมอยู่ด้วยกัน สดชื่นเต็มตายิ่งนัก
ทันใดนั้นในห้วงความคิดของเขาพลันปรากฏภาพโจวเสาจิ่นหยีดวงตาโตสีดำสลับขาวขณะแอบมาทำลับๆ ล่อๆ อยู่หน้าประตูห้องเขาขึ้นมา
มุมปากของเฉิงฉือยกยิ้มขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่
เย็นนี้ไปรับมื้อเย็นกับเด็กผู้นั้นก็แล้วกัน
จะได้ไปดูเรือนฝูชุ่ยที่นางพักอยู่ด้วยสักหน่อย
ไม่รู้ว่าซางมามาได้ตกแต่งเรือนฝูชุ่ยตามที่เขาสั่งเอาไว้หรือไม่
เขาคิดพลางเดินไปที่ชั้นวางของมีค่าที่อยู่ข้างๆ หยิบกล่องไม้จันทน์สีแดงกล่องหนึ่งออกมา
หลังจากที่ซื้อรูปแกะสลักองค์กวนอิมกลับมาจากถนนจือจิ่นในวันนั้นเขาก็ส่งไปให้วัดกันเฉวียนทำพิธีเบิกเนตรเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เดิมทีตั้งใจว่าจะเอาไปวางไว้ที่ห้องพระเล็กเลย แต่คิดไม่ถึงว่าหลังจากเกิดเรื่องของเฉิงอี้แล้ว มารดาจะใช้โอกาสนั้นไปรับตัวเด็กผู้นี้มาแล้ว เขาจึงยังไม่ทันได้นำไปวาง
ประเดี๋ยวก็ส่งไปให้นางก็แล้วกัน
นางต้องดีใจมากเป็นแน่
เฉิงฉือปัดกล่องไม้จันทน์สีแดงที่ไร้ฝุ่นนั้นเบาๆ
***
โจวเสาจิ่นรีบกลับไปที่เรือนฝูชุ่ยอย่างรวดเร็ว
ตัวยังไม่ทันได้ก้าวเข้าประตูไป ก็ได้ยินเสียงหัวเราะอย่างเบิกบานผสมปนเปไปกับเสียงนกร้องน่าฟังดังออกมาจากเรือนฝูชุ่ย
โจวเสาจิ่นประหลาดใจเป็นอย่างมาก
เรือนหานปี้ซานไม่ปลูกดอกไม้ ยิ่งเป็นไปได้ยากที่จะเลี้ยงนก
ก่อนที่นางจะไปเรือนหลีอิน ก็ได้ยินเสียงนกร้อง ยังคิดว่าเป็นนกจากที่ไหนที่ผ่านทางมา จึงไม่ได้ให้ความสนใจนัก…เวลานี้ได้ยินเสียงนกร้องอีกครั้ง นางใจเต้นตึกตักอย่างห้ามไม่อยู่ รีบเดินเข้าไปอย่างรีบร้อน
มีสาวใช้กลุ่มหนึ่งยืนล้อมวงอยู่ใต้ซุ้มองุ่น
เสี่ยวถานสังเกตเห็นโจวเสาจิ่นเป็นคนแรก ร้องเรียก “คุณหนูรองเจ้าคะ” อย่างยินดีเสียงหนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “นายท่านสี่เอาของฝากกลับมาฝากท่านเจ้าค่ะ!”
เสียงของนางยังไม่ทันขาดหาย บรรดาสาวใช้ที่ล้อมวงกันอยู่ก็ทยอยกระจายตัวออก เปิดทางให้โจวเสาจิ่น
เพียงมองครั้งเดียวโจวเสาจิ่นก็เห็นกรงนกสีแดงสดวางอยู่บนโต๊ะหิน
ผ้าคลุมกรงนกสีน้ำเงินเหลือบทองนั้นถูกเลิกขึ้นมา ลูกนกสีเหลืองคู่หนึ่งกำลังกระโดดไปกระโดดมาอยู่ในกรง ส่งเสียงร้องไม่หยุด ทั้งมีชีวิตชีวาและน่ารักน่าเอ็นดู
“นี่คือของขวัญที่ท่านน้าฉือมอบให้ข้าหรือ” โจวเสาจิ่นซาบซึ้งใจ ถามขึ้นอย่างไม่กล้าเชื่อเล็กน้อย
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ!” ชุนหว่านกล่าวยิ้มๆ อย่างอิจฉา “เป็นพ่อบ้านฉินนำมามอบให้ด้วยตัวเอง ไม่น่าจะผิดพลาดเจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นเดินเข้าไปใกล้ๆ ลูกนกสีเหลืองทั้งสองตัวต่างส่งเสียงร้องพร้อมกับโฉบลงมาเกาะบนขื่อที่อยู่กลางกรงนก หันมาร้องเสียงหวานน่าฟังให้นาง

VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน