เนื่องจากมีฉากโหมโรงนี้บรรเลงนำ บรรยากาศงานเลี้ยงฉลองหลังจากนั้นจึงค่อนข้างอึมครึมอย่างชัดเจน
ทุกคนต่างรักษามารยาท ‘ไม่พูดคุยกันเวลากิน ไม่คุยเล่นกันเวลานอน’ ต่างก้มหน้าก้มตารับประทานอาหาร
เด็กหนุ่มทั้งหลายราวกับนั่งอยู่บนเบาะที่เต็มไปด้วยเข็มก็ไม่ปาน เฉิงสวี่ถือโอกาสลุกขึ้นมา หมายจะไปห้องทางการ
สีหน้าของเฉิงซวี่ไม่น่ามองเล็กน้อย
เฉิงฉือปรายตามองเขาเบาๆ ทีหนึ่ง เรียกไหวซานเข้ามา สั่งเขาว่า “เจ้าตามคุณชายใหญ่ไปห้องทางการ ห้องทางการของเรือนทิงอวี่นี้ค่อนข้างมืด ระวังจะลื่นตะไคร้น้ำบนพื้นเอาได้”
เฉิงสวี่รีบกล่าวว่า “ไม่ต้องขอรับๆ ข้าไปเองได้”
เฉิงฉือไม่เอื้อนเอ่ยคำใด
ไหวซานก้มหน้าหลุบตารออยู่ข้างๆ ด้วยท่าทางต่อให้เจ้าจะกล่าวอะไรไปก็ไร้ประโยชน์ นายท่านสี่ให้ข้าติดตามเจ้า ข้าก็จะติดตามเจ้า
เฉิงสวี่รู้สึกหงุดหงิด ถลึงตาใส่ไหวซานอย่างบึ้งตึง
เฉิงเวิ่นเห็นแล้วก็หัวเราะขำขัน พลางกล่าว “เจียซ่าน เจ้าก็ไม่ใช่เด็กแล้ว อาสี่ของเจ้าทำเช่นนี้ก็เพื่อเป็นการดีต่อเจ้า รีบไปรีบมา อาหารจานสุดท้ายของวันนี้คือหม้อไฟรวมมิตร แต่ก่อนเจ้าชอบกินอาหารจานนี้มากที่สุดมิใช่หรือ ระวังเถิดหากกลับมาช้าแล้วทุกคนจะซดน้ำแกงจนหมดเกลี้ยงนะ” จากนั้นก็กล่าวกับเฉิงฉือว่า “น้องชายฉือ อีกไม่กี่วันนั่วเกอเอ๋อร์ของพวกข้าก็จะหมั้นหมายแล้ว ถึงตอนนั้นที่จวนมีงานอื่นใดหรือไม่ หากว่าไม่ติดงานอะไร ข้าอยากจะให้พ่อครัวใหญ่ที่ดูเตาสองท่านไปช่วยจัดเตรียมอาหารสำหรับงานเลี้ยงสักสองโต๊ะให้ข้า นั่วเกอเอ๋อร์ของพวกข้าจะหมั้นหมาย พ่อสื่อท่านหนึ่งคือนายท่านใหญ่หลิวจากจวนดอกเหมย ซึ่งตอนนี้เขาเป็นพ่อตาของซื่อจื่อของเหลียงกั๋วกง ส่วนอีกท่านหนึ่งคือหลินเจี้ยวอวี้ ทั้งสองล้วนมีความสัมพันธ์อันดีกับครอบครัวพวกข้า ในเมืองจินหลิงก็นับว่าเป็นบุคคลที่มีหน้ามีตายิ่ง ไม่อาจละเลยพ่อสื่อสองท่านนี้ได้”
ตามมารยาทแล้ว วันที่หมั้นหมายจะต้องเชิญพ่อสื่อและผู้ที่เปี่ยมไปด้วยพรทุกประการมารับประทานอาหารที่บ้าน
เฉิงฉือยิ้มพลางกล่าวว่า “ท่านเพียงกำหนดวันมาก็พอ ไม่ต้องสนใจว่าในจวนจะติดงานอะไรหรือไม่ ข้าจะเร่งให้จัดงานเลี้ยงฉลองการหมั้นหมายของนั่วเกอเอ๋อร์ก่อน”
เฉิงเวิ่นได้ยินแล้ว ลิงโลดดีใจยิ่งนัก กล่าวขอบคุณครั้งแล้วครั้งเล่า
ทว่าเฉิงหลูเห็นท่าทางของเฉิงเวิ่นแล้วกลับย่นหัวคิ้วขึ้นในทันที กล่าวอย่างอดไม่ได้ว่า “นายท่านใหญ่หลิวผู้นั้นเป็นพ่อสื่อที่น้องชายเวิ่นเชิญมาหรือ”
นายท่านใหญ่หลิวนั้นเหตุเพราะเรื่องของคุณหนูสามตระกูลซุนผู้เป็นบุตรสะใภ้ ชื่อเสียงของเขาจึงกระฉ่อนไปทั่วเมืองจินหลิง
เฉิงเวิ่นกับนายท่านใหญ่หลิวมี ‘นิสัยใจคอ’ ที่เข้ากันได้ดี เรียกได้ว่าเป็นสหายรักต่อกัน ถึงแม้จะคิดว่าเรื่องนี้นายท่านใหญ่หลิวทำเกินกว่าเหตุ แต่พอนึกถึงคุณหนูใหญ่ตระกูลหลิวที่แต่งงานกับจูเผิงจวี่แล้ว จะดีจะร้ายก็นับเป็นบุคคลโดดเด่นอันดับต้นๆ ของเมืองจิงหลิง จึงไม่ได้คิดว่าถ้อยคำของเฉิงหลูจะขัดหูแต่อย่างใด ในทางกลับกัน เขากล่าวอย่างภาคภูมิใจว่า “พวกข้าคบหากันมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ครั้งนี้นั่วเกอเอ๋อร์จะแต่งงาน ย่อมต้องเชิญเขามาเป็นพ่อสื่อ เขาเองก็ยินดีเป็นอย่างมาก!”
เฉิงหลูทำปากขมุบขมิบเล็กน้อย กำลังจะกล่าวอะไร จู่ๆ เฉิงเจิ้งบุตรชายของเขาก็ลุกขึ้นมาในทันใด กล่าวว่า “ท่านพ่อ ข้าก็จะไปห้องทางการเหมือนกันขอรับ”
เขาไม่รู้จะทำอย่างไรกับบิดาของเขาคนนี้แล้วจริงๆ!
ผู้อื่นต่างล้วนไม่พูดไม่จา แต่เขากลับต้องการยืนขึ้นมา
หากต้องเสียหน้าก็จะเสียหน้ากันทั้งซอยจิ่วหรู จวนหลักและจวนรองต่างไม่กล่าวอะไร แล้วจวนสามอย่างพวกเขาจะออกหน้าไปทำไมกัน
เฉิงเจิ้งส่งสายตาให้บ่าวเด็กของตนที่ปรนนิบัติอยู่ข้างๆ พยักพเยิดให้เขาจับตาดูบิดาให้ดี อย่าให้เขาก่อเรื่องอะไร ลากเฉิงสวี่ที่ยืนอยู่ตรงนั้นโดยตลอดออกจากศาลาทิงอวี่ไปพร้อมกัน
เฉิงสวี่ไม่อาจขัดขืนต่อหน้าทุกคน พอเดินพ้นจากศาลาทิงอวี่แล้วก็สะบัดแขนของเฉิงเจิ้งออก พลางกล่าวว่า “ท่านลากข้าออกมาทำไม ข้าไม่อยากให้คนอื่นมองว่าเป็นเด็กห้าหกขวบ ไปห้องทางการทีก็ต้องให้คนคอยติดตามอยู่ข้างๆ ตลอดหรอกนะ” พูดจบ เขาก็สาดสายตาใส่ไหวซานที่ตามเขาออกมาจากศาลาทิงอวี่
ไหวซานยังคงก้มหน้าหลุบตาลงอยู่เหมือนเดิม ประหนึ่งไม่ได้ยินอะไรแม้แต่น้อย นิ่งเงียบราวกับรูปปั้น
เฉิงเจิ้งจึงกล่าวยิ้มๆ ว่า “ก็ได้ๆ! ในเมื่อเจ้าไม่อยากให้คนอื่นมองเจ้าเป็นเด็กห้าหกขวบอยู่ตลอด เช่นนั้นเจ้าก็อย่าทำเรื่องที่มีเพียงเด็กห้าหกขวบกระทำกันสิ เจ้าคัดค้านท่านอาฉืออยู่ตรงนั้น ถือเป็นการกระทำของผู้ใหญ่แล้วหรือ”
เฉิงสวี่ได้ยินแล้วนัยน์ตาลุกวาวเล็กน้อย กระซิบกล่าวกับเฉิงเจิ้งว่า “อันที่จริงข้าไม่ได้อยากจะไปห้องทางการหรอก ข้าเพียงทนบรรยากาศในศาลาทิงอวี่ไม่ไหว ดังนั้นจึงออกมาเดินเล่นสักหน่อย มีคนติดตามมาเช่นนี้ ช่างน่ารำคาญยิ่ง!”
เฉิงเจิ้งคิดไม่ถึงว่าจู่ๆ เฉิงสวี่จะพูดความในใจกับตน
เขาคิดแล้วคิดอีก ยิ้มพลางกล่าว “ข้าก็ไม่ได้อยากจะไปห้องทางการเหมือนกัน เมื่อครู่เจ้าก็เห็นว่า ท่านพ่อของข้าเป็นผู้ที่มีอุปนิสัยเถรตรงคนหนึ่ง มีอะไรก็กล่าวออกมาอย่างนั้น หากข้าไม่ใช้ข้ออ้างนี้ ไม่แน่ว่าท่านพ่อของข้าอาจจะเอ่ยวาจาล่วงเกินผู้อื่นออกมาอีกก็เป็นได้”
เฉิงสวี่ก็เห็นเหมือนกัน
เขาแสร้งถอนหายใจด้วยท่าทางที่จนปัญญา กล่าวว่า “พอเถอะ พวกเรานั่งอยู่ข้างนอกสักพักแล้วค่อยกลับเข้าไปดีกว่า!”
เฉิงเจิ้งพยักหน้า “ได้! ข้าไม่คัดค้าน”
ทั้งสองคนจึงหาม้านั่งหินในที่เปล่าเปลี่ยวตัวหนึ่งแล้วนั่งลงไป
เฉิงเจิ้งเอ่ยถามเฉิงสวี่ถึงการสอบขุนนางในช่วงสารทฤดูว่า “‘รวมเล่มอรรถาธิบายจื้ออี้’ เล่มนั้น ใต้เท้าเซินหมิ่นจือเป็นผู้ตีพิมพ์จริงๆ หรือ”
“จะเป็นไปได้อย่างไร” เฉิงสวี่ตอบโดยไม่ต้องคิด “หากว่า ‘รวมเล่มอรรถาธิบายจื้ออี้’ เล่มนั้นเป็นตำราที่ใต้เท้าเซินตีพิมพ์จริงๆ ล่ะก็ หลังจากที่ท่านปู่รองได้รับมาแล้วจะปิดปากเงียบได้อย่างไร เห็นได้ชัดว่านี่เป็นข่าวปลอมที่ร้านหนังสือเหล่านั้นกุขึ้นมาเพื่อจะทำยอดขาย ยังต้องขอให้พี่ชายเจิ้งช่วยเตือนท่านอาหลูอย่างอ้อมๆ ด้วย จะได้ไม่ถูกหลอกเอาได้”
เฉิงเจิ้งมองเฉิงสวี่อย่างลึกซึ้งทีหนึ่ง
ศิษย์ในสำนักศึกษาต่างกล่าวว่าเฉิงสวี่เป็นผู้ที่ตั้งมั่นในคุณธรรมและทะนงตัว ดูแคลนการเล่นแง่ซ่อนกลเหล่านั้น บัดนี้เห็นแล้วว่าอาจไม่ถูกต้องเสมอไป
อย่างน้อยเมื่อครู่เขาไม่กล่าวอะไร ปล่อยให้เฉิงอี๋ของจวนรองเข้าใจผิด แต่แล้วกลับมาหาตนให้เผยแพร่เรื่องนี้ออกไป เป็นการตบหน้าเฉิงอี๋ฉาดหนึ่ง และสร้างความดีความชอบให้แก่ตน เจ้าเล่ห์ยิ่งนัก
เฉิงสวี่ไม่ได้ใส่ใจนัก
ในเมื่อจวนหลักกับจวนรองมีความบาดหมางที่ไม่อาจปรองดองกันได้ เช่นนั้นเขายังต้องไว้หน้าจวนรองไปเพื่ออันใด
ที่เขาทำไปก็เป็นการตบหน้าจวนรอง!
พอเห็นว่าเป้าหมายของตนบรรลุแล้ว เฉิงสวี่ก็กล่าวยิ้มๆ ว่า “คราวนี้ข้าต้องการไปห้องทางการจริงๆ แล้ว”
จะจริงหรือเท็จสำคัญอย่างไร
ในเมื่อเรื่องใดๆ บนโลกนี้ล้วนเป็นเรื่องจริงและเรื่องเท็จคละเคล้ากันไปมิใช่หรือ
เฉิงเจิ้งทำท่าผายมือเชิญทีหนึ่ง พลางกล่าวว่า “น้องชายสวี่เชิญตามสบาย!”
ทว่าเฉิงสวี่กลับลอบชี้ไหวซานที่ยืนห่างออกไปไม่ไกล พลางกระซิบว่า “ไม่รู้ว่าพี่ชายเจิ้งช่วยข้าหลอกล่อเขาได้หรือไม่ ถูกเขาจับจ้องอยู่อย่างนี้ข้ารู้สึกอึดอัดจริงๆ”
เฉิงเจิ้งไม่อยากช่วยเป็นแพะรับบาปให้เฉิงสวี่ เขากล่าวยิ้มๆ ว่า “จะให้หลอกล่ออย่างไร”
เฉิงสวี่กระซิบบอกเขา
เฉิงเจิ้งยิ้มน้อยๆ พลางพยักหน้าหงึกๆ
ทั้งสองมุ่งไปที่ห้องทางการ
ไหวซานติดตามไปอย่างไม่ใกล้ไม่ไกล หยุดยืนอยู่ข้างป่าไผ่นอกห้องทางการ มองดูพวกเขาพูดคุยไปด้วยหัวเราะไปด้วยขณะเข้าห้องทางการ
ไม่นานนัก เสียงของเฉิงเจิ้งก็ดังขึ้นจากห้องทางการ “ความจริงข้าก็เตรียมจะเข้าร่วมการสอบช่วงสารทฤดูของปีนี้เช่นกัน แต่รู้สึกไม่ค่อยมั่นใจสักเท่าไร ท่านอาจารย์จางของสำนักศึกษาก็คิดว่าข้าควรจะเตรียมตัวอ่านตำราอีกสักสองปีแล้วค่อยลงสนามสอบ ยังคงเป็นน้องชายสวี่ที่เก่งกาจ เรียนหนังสือก็เก่ง ทั้งยังมีท่านลุงใหญ่จิงกับท่านปู่รองคอยชี้แนะให้คำสั่งสอน การสอบขุนนางช่วงสารทฤดูในคราวนี้จะต้องสอบผ่านอย่างแน่นอน ถึงเวลานั้นเจ้าต้องให้ข้าดูเรียงความในข้อสอบด้วย…”

VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน