เฉิงอี้เป็นเด็กหนุ่มอายุสิบเจ็ดสิบแปดปีที่ยังอยู่ในวัยหน้าบางผู้หนึ่ง พอถูกเฉิงนั่วเอ่ยถามขึ้นมาอย่างสบายๆ เช่นนี้ ดวงหน้าก็ขึ้นสีแดงเรื่อในทันที กล่าวว่า “เจ้าสนใจแต่เรื่องของเจ้าเองก็พอ จะสนใจเรื่องของข้าไปทำไม”
เฉิงนั่วหัวเราะฮ่าๆ ดวงหน้าปรากฏความพึงพอใจเล็กน้อย
ตอนแรกเขาไม่พอใจกับการแต่งงานนี้
อู๋เป่าจางเป็นผู้ที่ชอบยกย่องผู้สูงศักดิ์และเหยียบย่ำผู้ต่ำต้อยอยู่บ้าง ชื่อเสียงในแวดวงของพวกเขาก็ไม่ได้ดีเลิศเป็นพิเศษ แต่มารดาก็เคยกล่าวเช่นกันว่า มีใครบ้างที่ไม่ยกย่องผู้สูงศักดิ์และเหยียบย่ำผู้ต่ำต้อยเล่า ก็เหมือนกับจวนห้าของพวกเขา และจวนสี่ก็ด้วย มิใช่ว่าต้องใช้ชีวิตด้วยการยกยอจวนหลักกับจวนรองหรอกหรือ อย่างไรก็ตาม บางคนทำได้อย่างแนบเนียน บางคนทำไปอย่างโจ่งแจ้งจนผู้คนมองออกก็เท่านั้น แต่ถ้าหากว่าเขากลายเป็นบุตรเขยที่น่าภาคภูมิใจของเจ้าเมืองอู๋ และมีตระกูลอู๋หนุนหลังได้ล่ะก็ ต่อให้อนุที่อยู่ข้างนอกกับบุตรที่นางให้กำเนิดมาจะร้ายกาจเพียงใด ยามที่แบ่งมรดกก็ไม่มีส่วนแบ่งของพวกเขา ในบรรดาญาติพี่น้อง ก็ต้องมองเขาด้วยสายตายกย่อง
สำหรับคนอื่นเขาไม่รู้ แต่เฉิงจวี่จะต้องอิจฉาเขาอย่างแน่นอน
ทั้งยังขอให้เขาช่วยสอดส่อง ดูว่าจะช่วยหาตำแหน่งงานสักตำแหน่งหนึ่งในศาลว่าการให้เฉิงจวี่ได้หรือไม่
ฉะนั้นบัดนี้เฉิงนั่วคิดว่า แต่งงานกับคุณหนูใหญ่ตระกูลอู๋ก็ไม่เลว ยิ่งกว่านั้นเขาได้พบคุณหนูใหญ่ตระกูลอู๋แล้ว นางมีรูปโฉมงดงาม ทั้งพูดจาฉะฉานและเข้าสังคมเก่ง พาออกไปที่ไหนก็ไม่รู้สึกขายหน้า
ทว่าเฉิงอี้กลับรู้สึกใจเสาะเล็กน้อย
มารดาเรียกเขาไปต่อว่ายกหนึ่ง สุดท้ายกล่าวว่า “หากไม่ใช่เพราะเจ้าไม่เชื่อฟังเช่นนี้ ข้าก็คงช่วยเจ้าสู่ขอเสาจิ่นจากอาเขยของเจ้าไปนานแล้ว!”
ตอนนั้นเขารู้สึกเก้อกระดากยิ่ง รีบกล่าวขึ้นว่า “ท่านคงยังไม่ได้กล่าวอะไรกับท่านอาเขยหรอกกระมัง”
มารดาโมโหยิ่งนัก ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดตอบไปว่า “เจ้าหมายความว่าอย่างไร หรือว่าเสาจิ่นไม่ควรค่าที่จะแต่งงานกับเจ้าอย่างนั้นหรือ
“ไม่ใช่ขอรับๆ” เขาโบกมือรัวๆ “ขะ…ข้ามองนางเป็นน้องสาวมาตลอด…”
มารดากล่าวอย่างขุ่นเคืองว่า “นางหาใช่น้องสาวแท้ๆ ของเจ้า!”
เขาได้แต่ยิ้มเจื่อน
หากว่าเขาเลือกได้ล่ะก็ เขาขอแต่งจี๋อิ๋งเป็นภรรยาเสียจะดีกว่า
เขามองแล้วก็รู้สึกวุ่นวายใจ
เสาจิ่นนั้น เขาเห็นนางเติบโตมาตั้งแต่ยังเล็ก…พอนางโตขึ้นแล้ว ยังว่ากล่าวสั่งสอนเขาประหนึ่งเป็นน้องชายอีก…จึงจินตนาการภาพทั้งสองคนเป็นสามีภรรยากันไม่ออกจริงๆ
ยิ่งไปกว่านั้น เขาเพิ่งถูกจี๋อิ๋งทุบตีไปครั้งหนึ่ง เสาจิ่นย่อมต้องผิดหวังในตัวเขาเป็นแน่ แล้วจะแต่งงานกับเขาได้อย่างไร
อารมณ์ของเฉิงอี้ซับซ้อนยุ่งเหยิงยิ่ง พูดไม่ออกว่าโมโหหงุดหงิดหรือเสียใจกันแน่
ในเรือนหลักของเรือนหานปี้ซาน งานเลี้ยงในศาลาทิงอวี่ยังไม่ทันเลิก ทว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็ทราบข่าวแล้ว
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเงียบงันอยู่นาน กล่าวกับโจวเสาจิ่นที่กำลังเลือกผ้าที่จะใช้ตัดเย็บอย่างเริงร่าในห้องชั้นนอกว่า “เสาจิ่น ชุดสำหรับฤดูใบไม้ร่วงของข้า เจ้าช่วยตัดสินใจให้เลยก็แล้วกัน ข้ารู้สึกเหนื่อยเล็กน้อย จะกลับห้องไปพักผ่อนสักหน่อย”
โจวเสาจิ่นและคนอื่นๆ รับรู้ถึงความผิดปกติของฮูหยินผู้เฒ่ากัวในทันที แม้ทุกคนต่างขานรับยิ้มๆ ว่า “เจ้าค่ะ” แต่พอฮูหยินผู้เฒ่ากัวเข้าไปในห้องแล้วต่างก็มารวมตัวกัน
“ฮูหยินผู้เฒ่าเป็นอะไรไปหรือ”
“เมื่อครู่ยังอารมณ์ดีอยู่เลย! ต้องเป็นเพราะสื่อมามาไปพูดอะไรกับฮูหยินผู้เฒ่าแน่ๆ”
“คงมิใช่ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นที่ศาลาทิงอวี่หรอกกระมัง ครั้งนี้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวของพวกเราไม่ได้ไปร่วมงานเลี้ยง คงไม่ได้ทำให้ท่านผู้นำตระกูลจวนรองขุ่นเคืองหรอกกระมัง”
“หา! จะทำให้ขุ่นเคืองได้อย่างไรเล่า มีนายท่านสี่อยู่ด้วย ท่านผู้นำตระกูลจวนรองยังจะกล้าตำหนิฮูหยินผู้เฒ่ากัวของพวกเราอีกหรือ”
“ข้าไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น…ข้าเพียงรู้สึกไม่ค่อยดีเท่านั้น…”
โจวเสาจิ่นฟังปี้อวี้และคนอื่นๆ กระซิบกระซาบคุยกันเงียบๆ แง้มผ้าม่านของห้องชั้นในขึ้นเล็กน้อยอย่างเบามือเบาเท้า
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวหลับตานอนอิงหัวเตียง ขมวดคิ้วเป็นปมแน่น ห่มผ้านวมทอลายนกกระเรียนมงกุฎแดงสีน้ำเงินไพลิน หมุนลูกประคำไม้จันทร์สิบแปดเม็ดในมือไปด้วยอย่างรวดเร็ว
โจวเสาจิ่นกวักมือเรียกชุนหว่าน บอกให้นางไปที่ห้องครัวแล้วยกต้มถั่วแดงใส่เม็ดบัวถ้วยหนึ่งมา ห้องครัวเล็กของเรือนหานปี้ซานมักจะตระเตรียมของหวานหลากหลายชนิดเอาไว้เสมอ
ชุนหว่านรีบรุดออกไป ไม่นานนักก็ถือถาดเคลือบเงาสีแดงวาดลายดอกไห่ถังสีทองรองต้มถั่วแดงใส่เม็ดบัวเข้ามา
โจวเสาจิ่นรับถาดมา เอ่ยเบาๆ ที่ปากประตูว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าเจ้าคะ”
ตอนที่ชุนหว่านเดินเข้ามา เจินจูและคนอื่นๆ ที่อยู่ในห้องต่างเฝ้าสังเกตการเคลื่อนไหวของนางเอาไว้แล้ว กระทั่งตอนที่นางเอ่ยเรียก ต่างกลั้นหายใจมองโจวเสาจิ่นอย่างพร้อมเพรียงกันโดยมิได้นัดหมาย ประหนึ่งกลัวว่าเสียงนี้จะรบกวนฮูหยินผู้เฒ่าก็ไม่ปาน
ภายในห้องเงียบงันไร้สุ้มเสียง
โจวเสาจิ่นเอ่ยเรียกเบาๆ อีกครั้ง
ยังคงไม่มีเสียงตอบ
นางหมุนกายกลับมาอย่างผิดหวังยิ่ง ส่ายศีรษะให้เจินจูและคนอื่นๆ
สีหน้าของเจินจูและคนอื่นๆ ล้วนเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดขึ้นมา
นัยน์ตาของโจวเสาจิ่นหม่นหมองลง กำลังจะหมุนกายคืนถาดรองให้ชุนหว่าน ทว่าภายในห้องชั้นในกลับมีเสียงอันน่าเกรงขามแต่แฝงความอ่อนโยนของฮูหยินผู้เฒ่ากัวดังขึ้นมาว่า “เสาจิ่นหรือ เข้ามาสิ”
นางรู้สึกร่าเริงขึ้นมาในทันใด ส่งสายตาให้เจินจูและคนอื่นๆ ไปด้วย ขานรับอย่างนุ่มนวลไปด้วย ว่า “เจ้าค่ะ” พลางกล่าวยิ้มๆ “เช่นนั้นข้าจะเข้าไปแล้วนะเจ้าคะ!”
เจินจูและคนอื่นๆ ต่างรู้สึกยินดี ส่งสายตาให้โจวเสาจิ่น เป็นสัญญาณให้นางช่วยปลอบใจฮูหยินผู้เฒ่ากัวดีๆ
โจวเสาจิ่นยิ้มพลางพยักหน้า ยกของหวานเข้าไปในห้องชั้นใน
ฮูหยินผู้เฒ่ากัววางลูกประคำในมือลง ดวงหน้าปรากฏความสงบส่วนหนึ่ง ยิ้มพลางถามนางว่า “เจ้ายกอะไรมาหรือ พวกเราเพิ่งจะรับประทานมื้อเที่ยงไป ข้ายังกินอะไรไม่ลง”
“เป็นต้มถั่วแดงใส่เม็ดบัวเจ้าค่ะ” โจวเสาจิ่นยิ้มละไมพลางนั่งลงบนตั่งตัวเล็กปักลวดลายที่หัวเตียง “ให้พวกเขาตักมาเพียงครึ่งถ้วยเท่านั้น บางครั้งเวลาที่ข้าอารมณ์ไม่ดี ได้รับประทานของหวานสักเล็กน้อย จะช่วยให้อารมณ์ดีขึ้นได้อย่างรวดเร็วเลยเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวประหลาดใจยิ่ง ครุ่นคิดแล้วยกถ้วยของหวานขึ้นมากินสองสามคำ
โจวเสาจิ่นรู้สึกโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง กล่าวยิ้มๆ ว่า “ท่านอยากจะเอนกายนอนพักสักครู่หรือไม่เจ้าคะ ข้าช่วยนวดขาให้ท่านดีหรือไม่ หรือนวดไหล่ก็ได้ การนวดเช่นนี้จะทำให้ท่านนอนหลับได้เร็วยิ่งขึ้นเจ้าค่ะ”
“ไม่ต้องหรอก!” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจับมือของนางพลางถอนหายใจ กล่าวว่า “เรื่องพวกนี้ให้พวกเจินจูทำก็ได้”
แต่พวกเจินจูไม่ได้ใจกล้าเหมือนกับนาง
VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน