เฉิงฉือคิดไม่ถึงว่าโจวเสาจิ่นที่อ่อนโยนและว่าง่ายนอกจากจะมีจิตใจงดงามและน่ารักน่าเอ็นดูแล้ว ยังมีด้านที่รู้ความและเอาใจใส่ผู้อื่นเช่นนี้อยู่ด้วย
หลายปีมานี้ ไม่รู้ว่าเขาผ่านการโจมตีทั้งแบบซึ่งหน้าและแบบซุ่มแทงข้างหลังมามากเพียงใด ทว่าเขาไม่เคยกลัวผู้ใดหรือสิ่งใดเลย หากจะมีสิ่งใดที่ทำให้เขาไม่อาจวางใจลงได้ ก็คงจะเป็นมารดาที่ภายนอกดูเหมือนเด็ดเดี่ยวเข้มแข็งแต่ภายในใจกลับหงอยเหงาและโดดเดี่ยว
เขายังไม่ทันได้บอกอะไรสักคำ นางไม่รู้แม้กระทั่งว่าเกิดอะไรขึ้นที่ศาลาทิงอวี่เลยด้วยซ้ำ แต่เพียงเห็นว่าอารมณ์ของมารดาเปลี่ยนไป นางก็รู้จักไปปลอบประโลมมารดา และอยู่เป็นเพื่อนมารดาแล้ว…
หากเป็นเฉิงเจิงที่มารดาเลี้ยงดูฟูมฟักมาจนเติบใหญ่คงจะทำได้
แต่นางไม่ใช่เฉิงเจิงที่ฉลาดปราดเปรื่องและเฉียบแหลม
นางคือโจวเสาจิ่นที่ว่านอนสอนง่ายกระทั่งเบาปัญญาไปเล็กน้อยด้วยซ้ำ
ในใจของเฉิงฉือยุ่งเหยิง
นางทำได้อย่างไรกันนะ
เป็นการแสดงความกตัญญูเพื่อตอบแทนคุณมารดา หรือว่าจะเป็นความเข้าใจในตัวเขาโดยที่ไม่ต้องบอก ที่รู้ว่าเขาเป็นห่วงมารดาเป็นที่สุด ดังนั้นหลังจากที่เขาไปร่วมงานเลี้ยงของตระกูลที่เป็นเสมือนการร่วมงานเลี้ยงที่หงเหมิน[1] นางก็เพ่งความสนใจทั้งหมดไปที่มารดา…
เฉิงฉือไม่ค่อยแน่ใจนัก
เขาพูดคุยเรื่องสัพเพเหระภายในบ้านกับโจวเสาจิ่นไปเรื่อยๆ
ทว่าโจวเสาจิ่นกลับเอ่ยตอบอย่างเริงร่า
ทำเสมือนกับว่าไก่อบชาที่รับประทานเป็นมื้อเที่ยงจานนั้นรสชาติดีมาก ราวกับว่าการตัดเย็บเสื้อผ้าให้มารดาเป็นเรื่องสนุกสนานเป็นอย่างยิ่ง แบบที่เป็นที่นิยมของปีนี้เป็นเรื่องที่ต้องหารือกันให้ดีอย่างไรอย่างนั้น…ไม่ว่าเขาจะพูดอะไร นางฟังแล้วล้วนดูสนอกสนใจไปเสียทุกอย่าง
หรือจะเป็นเพราะนางเติบโตมาถึงเพียงนี้แล้วแต่กลับเคยไปแค่เขาผู่ถัวเพียงครั้งเดียวกันนะ
อีกไม่กี่วันเขาต้องไปเมืองจี่หนาน ควรจะพานางไปด้วยหรือไม่…หรือว่าค่อยเลือกช่วงเวลาอื่นจะดีกว่า เขาไปเมืองจี่หนานในครั้งนี้เพื่อไปเยี่ยมซานไพ่ถังของทางนั้น คาดว่าอาจจะเกิดความขัดแย้งขึ้นได้ ไม่ค่อยปลอดภัยสักเท่าไร อีกทั้งนางทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง หากตนปกป้องดูแลไม่ได้ แล้วนางถูกคนอื่นทำร้ายขึ้นมาจะทำอย่างไร รอให้เฉิงเจียซ่านเข้าร่วมการสอบช่วงสารทฤดูเสร็จแล้ว ตอนที่เขาไปจิงเฉิงค่อยพานางไปด้วย ให้นางได้กลับไปเยี่ยมบิดาของนางที่เป่าติ้งด้วยพอดี ยังให้นางได้พักอยู่ที่เป่าติ้งสักระยะหนึ่ง รอให้เขากลับจากจิงเฉิงค่อยพานางกลับมาด้วย เช่นนี้เขาจะได้ไปทำธุระอื่นๆ ได้อย่างวางใจ นางเองก็จะได้ใช้เวลาอยู่ร่วมกับครอบครัวได้เป็นอย่างดีด้วย
ถึงเวลานั้นเรื่องแต่งงานของเฉิงเจียซ่านก็น่าจะตกลงกันได้แล้ว…เช่นนั้นมิเท่ากับว่าเสาจิ่นเองก็ต้องออกเรือนแล้วเหมือนกันหรอกหรือ
พอคิดถึงตรงนี้ เฉิงฉือก็ชะงักงัน อารมณ์พลันเปลี่ยนเป็นหม่นหมองขึ้นมา
เช่นนั้นมารดา…ก็ต้องเหลือตัวคนเดียวอีกแล้วมิใช่หรือ!
เฉิงฉือจินตนาการได้เลยว่า ภายในบ้านจะต้องเงียบเหงายิ่งกว่าเมื่อก่อนเป็นแน่ ยามที่เฉิงเซิงอยู่ด้วย นางมักจะหยอกเย้าล้อเล่นกับมารดาเสียงเจื้อยแจ้ว แต่ตอนที่โจวเสาจิ่นอยู่ด้วย กลับทำให้มารดากลายเป็นคนอ่อนโยนและอบอุ่นขึ้นมาจากภายในได้ ดังนั้นเรือนหานปี้ซานถึงได้มีบรรยากาศอบอุ่นและเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวาเฉกเช่นตอนนี้
เฉิงฉือย่นหัวคิ้ว
คงไม่อาจรั้งโจวเสาจิ่นให้อยู่ข้างกายมารดาตลอดไปได้กระมัง
เสาจิ่นเติบโตขึ้นก็ต้องไปมีชีวิตเป็นของตนเอง
ในห้วงความคิดของเขาก็มีภาพที่เขาเพิ่งเห็นเมื่อครู่ปรากฏขึ้นมา
ภายในห้องเงียบงันไร้สุ้มเสียง ดวงหน้าของเด็กน้อยขาวผุดผ่องประดุจหยก รูปร่างผอมเพรียวบอบบาง อ่อนช้อยราวกับต้นหลิวในยามวสันตฤดู เผลอเพียงครู่เดียวก็สูงขึ้นไม่น้อยแล้ว
สายตาของเฉิงฉือตกไปบนร่างของโจวเสาจิ่น
นางยังคงสวมชุดเพ่ยจื่อสีเหลืองอ่อนแถบเขียว ช่วงล่างสวมกระโปรงจีบสีขาวพระจันทร์ ผมสีดำขลับเกล้าเป็นมวยหลวมๆ ปักไว้ด้วยปิ่นไข่มุกล้ำค่ารูปดอกติงเซียง อาภรณ์ขนาดพอดีตัวทำให้เห็นทรวดทรงองเอวอันบอบบาง
เขารู้สึกร้อนรุ่มเล็กน้อย
โจวเสาจิ่นเห็นว่าเมื่อครู่ทั้งสองคนยังสนทนากันดีๆ อยู่ แต่เหตุใดเพียงชั่วพริบตาเดียวอารมณ์ของเฉิงฉือก็หดหู่ลง นางอดถามอย่างเป็นกังวลไม่ได้ว่า “เป็นอะไรไปหรือเจ้าคะ ท่านน้าฉือมีธุระสำคัญที่ต้องไปจัดการหรือไม่เจ้าคะ”
นางรู้ดีว่าตนดีใจเป็นอย่างมากที่ได้พบเฉิงฉือ เวลาคุยจึงอยากคุยให้นานและพูดให้มากกว่ายามปกติ ก็เลยกลัวว่าเฉิงฉือจะทนไม่ได้
เด็กน้อยผู้นี้ ตนอยากจะพักผ่อนอยู่ตรงนี้ครู่หนึ่ง แต่นางกลับคิดขับไล่เขาไปเสียนี่
“ข้าไม่ได้มีธุระอะไร!” เฉิงฉือหลุดหัวเราะ พลางกล่าว “เหตุใดเจ้าถึงไม่ปักปิ่นไข่มุกทะเลใต้ที่ข้ามอบให้เจ้าเล่า” เผลอหลุดปากพูดออกไปแล้ว ในใจลอบรู้สึกว่าไม่ค่อยเหมาะสมสักเท่าไร จึงรีบกล่าวขึ้นว่า “ข้าเห็นว่าช่วงก่อนเจ้ามักจะปักปิ่นปักผมชิ้นนั้น ยังคิดว่าเจ้าชื่นชอบมันมากเสียอีก!”
ดวงหน้าของโจวเสาจิ่นขึ้นสีแดงเรื่ออย่างไร้สาเหตุ
ไม่คาดคิดว่าท่านน้าฉือจะช่างสังเกตถึงเพียงนี้
สังเกตเห็นแม้กระทั่งว่านางชื่นชอบอะไร
“ข้าชื่นชอบมันมากเจ้าค่ะ!” นางอดลูบปิ่นไข่มุกล้ำค่ารูปดอกติงเซียงบนศีรษะไม่ได้ อธิบายไปว่า “นี่ก็ปลายเดือนสี่แล้วมิใช่หรือเจ้าคะ ดอกเบญจมาศล้วนแตกยอดอ่อนแล้ว หลายวันก่อนข้าไปแยกต้นกล้าดอกเบญจมาศที่เรือนดอกไม้ แต่ใครจะรู้ว่ากลับทำปิ่นตกที่เรือนดอกไม้ไปตั้งแต่เมื่อใดข้าเองก็ยังไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ ต่อมาเมื่อกลับถึงเรือนฝูชุ่ยก็ค้นหากันครึ่งค่อนวันก็หาไม่เจอ ทำข้าร้อนใจแทบแย่ หากมิใช่เพราะบ่าวหญิงจากเรือนดอกไม้เก็บมาคืนให้ ข้าคงได้พลิกเรือนหานปี้ซานหาเสียแล้ว ถึงตอนนั้นจะต้องรบกวนไปถึงฮูหยินผู้เฒ่าเป็นแน่…ข้ากลัวจะทำปิ่นหล่นหายอีก หลายวันมานี้จึงไม่หยิบมาประดับเจ้าค่ะ”
ยังมีอีกเรื่องที่นางไม่ได้บอก
ปิ่นไข่มุกทะเลใต้อันนั้นทำขึ้นมาอย่างวิจิตรล้ำค่า แล้วก็เป็นของมีน้ำหนัก นางปักแล้วค่อนข้างหนักเล็กน้อย ด้วยเหตุนี้ปิ่นถึงได้ร่วงลงมาจากศีรษะของนาง
หากจะโทษก็ต้องโทษผมของนางที่บางเกินไป
หากมีผมดกหนาอย่างเช่นผมของพี่สาวก็คงจะดี!
อย่างไรก็ตาม ฝานมามาบอกว่านางอายุยังน้อย อีกไม่กี่ปีผมก็จะหนาและยาวขึ้นเหมือนกับของพี่สาวเช่นกัน
เฉิงฉือไม่คิดไม่ฝันมาก่อนว่าจะเป็นเพราะสาเหตุนี้
ในใจของเขาพลันราวกับมีของอะไรบางอย่างไหลผ่าน ร้อนผะผ่าวจนทรวงอกสั่นไหว ทว่ากลับเป็นความรู้สึกสุขใจที่อธิบายออกมาไม่ได้ ทำให้เขาอดกล่าวออกมาประโยคหนึ่งไม่ได้ว่า “ไม่เป็นไร” จากนั้นเอ่ยขึ้นอีกว่า “หากเจ้าทำหล่นอีกก็มาบอกข้า ข้าให้ร้านเครื่องประดับทำมาให้เจ้าใหม่ก็ได้แล้ว”
จะเอาแต่รับของของท่านน้าฉือเช่นนี้อยู่ตลอดได้อย่างไร
โจวเสาจิ่นกล่าวขอบคุณเฉิงฉืออย่างกระดากอาย กล่าวขึ้นว่า “ต่อไปข้าจะระวังให้ดีเจ้าค่ะ”
เฉิงฉือรู้สึกว่านี่เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น
เครื่องประดับและอัญมณีอันเป็นสิ่งของแวววาวพราวตาเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นมารดาผู้สูงศักดิ์ พี่สะใภ้ใหญ่ที่เข้าสังคมเก่ง หรือกระทั่งพี่สะใภ้รองที่เป็นคนเก็บน้ำคำ ต่างไม่มีสักคนที่ไม่ชื่นชอบ ถึงเวลานั้นค่อยเชิญช่างจากร้านเครื่องประดับมาทำเพิ่มให้นางอีกสักสองสามชิ้นก็แล้วกัน


VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน