โจวเสาจิ่นไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับไปชั่วขณะ
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเอ่ยว่า “ข้าเห็นสีหน้าของเจ้าไม่สู้ดีนัก”
จริงหรือ
โจวเสาจิ่นตะลึงงัน พลางกล่าว “ท่านน้าฉือเพิ่งออกไปเมื่อครู่เจ้าค่ะ…”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวได้ยินแล้วก็ลุกขึ้นมานั่ง ถามอย่างเคร่งขรึมว่า “เขามาตั้งแต่เมื่อไร เจ้าน่าจะปลุกข้าสักหน่อย เขาได้กล่าวอะไรหรือไม่”
โจวเสาจิ่นช่วยหยิบเสื้อกั๊กปี๋เจี่ยที่แขวนอยู่ข้างราวแขวนเสื้อผ้ามาให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัว พลางกล่าวว่า “ท่านน้าฉือมาดูท่านเจ้าค่ะ…”
ทั้งสองคนต่างไม่ได้คิดจะปลุกฮูหยินผู้เฒ่ากัว กระทั่งกลัวว่าจะทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าตื่นขึ้นมาเสียด้วยซ้ำ จึงกดเสียงให้ต่ำลงระหว่างสนทนากันและทำอะไรเบามือเบาเท้าเป็นพิเศษ…โจวเสาจิ่นหน้าแดงเรื่อ รู้ดีว่าเรื่องบางเรื่องไม่อาจปกปิดฮูหยินผู้เฒ่ากัวได้ จึงเลือกเล่าเฉพาะส่วนสำคัญ “อาจเพราะกลัวว่าท่านจะได้ยินอะไรมาแล้วรู้สึกเป็นกังวล พอมาถึงก็เห็นท่านนอนหลับไปแล้ว ท่านน้าฉือบอกว่ายังมีธุระอื่นอีก จึงออกไปข้างนอกแล้วเจ้าค่ะ”
วันนี้เฉิงฉือปะทะคารมกับเฉิงซวี่ต่อหน้าธารกำนัลในจวน ไม่ว่าจะกล่าวจากแง่มุมไหน เฉิงซวี่ย่อมไม่อาจอยู่นิ่งเฉยโดยไม่ตอบกลับอะไรเช่นนี้เป็นแน่ การที่เฉิงฉือจะทำการเตรียมพร้อมหรือมีแผนการอะไรบางอย่างไว้จึงเป็นเรื่องที่จำเป็นยิ่ง
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวพยักหน้าเบาๆ ไม่ได้กล่าวอะไรมากอีก
โจวเสาจิ่นรู้สึกโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง อดคิดในใจไม่ได้ว่า ฮูหยินผู้เฒ่ากัวน่าเกรงขามยิ่งนัก ท่านน้าฉือเองก็น่าเกรงขามมากเช่นกัน แต่ไม่ว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวจะรักใคร่เอ็นดูนางอย่างไร ยามที่นางอยู่ต่อหน้าฮูหยินผู้เฒ่ากัวล้วนรู้สึกกดดันเล็กน้อย ในทางกลับกัน บางครั้งท่านน้าฉือกระทั่งกระเซ้าเย้าแหย่นาง ทว่านางกลับรู้สึกว่าท่านน้าฉือไม่ได้ปฏิบัติกับนางเหมือนเป็นคนนอก ไม่เพียงไม่รู้สึกหวาดกลัวยังรู้สึกใกล้ชิดมากอีกด้วย…
จากความรู้สึกของนางแล้วเหตุใดทั้งสองคนถึงได้แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงถึงเพียงนี้นะ
โจวเสาจิ่นก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
นางช่วยประคองฮูหยินผู้เฒ่ากัวลุกขึ้นจากเตียง
ปี้อวี้ที่นำสาวใช้เด็กยกน้ำร้อนเข้ามาส่งสายตาให้นางไม่หยุด
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวที่นั่งอยู่หน้ากระจกโต๊ะเครื่องแป้งมองเห็นจากในกระจกได้อย่างชัดเจน นางอดกล่าวยิ้มๆ ไม่ได้ว่า “ปี้อวี้ ระวังจะขยิบตาจนกลายเป็นตาชักกระตุก”
ปี้อวี้หน้าแดงเถือก
ทุกคนหัวเราะดังลั่นไปทั้งห้อง
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจึงกล่าวว่า “เจ้ามีเรื่องต้องการคุยกับเสาจิ่นหรือ ถ้าข้าอยู่ด้วยแล้วไม่สะดวกคุย ก็พานางออกไปคุยข้างนอก มาขยิบตาให้กันต่อหน้าข้าตรงนี้ ไม่กลัวเลยว่าพรุ่งนี้จะให้เจ้าแต่งออกไป”
ปี้อวี้เขินอายจนไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมา
นางกับเฝ่ยชุ่ยล้วนถึงวัยแต่งงานแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่ากัวช่วยหาสามีให้ทั้งสองคน โดยเลือกพ่อบ้านมาสองคนซึ่งล้วนแล้วแต่มีลักษณะนิสัยและหน้าตาที่โดดเด่นยิ่งจากบรรดาบ่าวไพร่รุ่นเดียวกัน คนหนึ่งมีนามว่าจั่วเสียน อีกคนนามว่าติงหรง ฤดูใบไม้ผลิของปีหน้าก็จะออกเรือนแล้ว
เรื่องนี้เพิ่งตกลงกันได้ไม่กี่วันก่อน โจวเสาจิ่นมอบปิ่นทองคำยาวห้าหกเฟิ่นแก่ทั้งสองคนต่อหน้าทุกคนไปคนละหนึ่งคู่ ทว่ายังมอบกำไลทองคำหนักประมาณสี่เหลี่ยงเพิ่มให้ปี้อวี้เป็นการส่วนตัวอีกหนึ่งคู่
เจินจูคล้องแขนของโจวเสาจิ่นพลางหัวเราะร่าจนตัวงอ
ข้างนอกฝนเทกระหน่ำลงมา
ไม่ง่ายเลยกว่าปี้อวี้จะเงยหน้าขึ้นมาได้ กล่าวกับฮูหยินผู้เฒ่ากัวว่า “เป็นคุณหนูเจียของจวนสามเจ้าค่ะ ดูเหมือนว่าจะมีปากเสียงกับฮูหยินใหญ่หลู ร้องห่มร้องไห้วิ่งมาถึงเรือนหานปี้ซาน แต่ไม่ยอมเข้ามา เอาแต่นั่งนิ่งอยู่บนธรณีประตูอย่างเหม่อลอย ข้าถามนาง นางบอกว่ามาหาคุณหนูรอง ตอนนั้นท่านกำลังนอนพักผ่อนอยู่ ข้าจึงให้เสี่ยวถานเชิญนางไปที่เรือนฝูชุ่ย เมื่อครู่เสี่ยวถานมาแจ้งข้าว่า คุณหนูเจียนอนร้องห่มร้องไห้บนเตียงของคุณหนูรองมาหนึ่งชั่วยามแล้ว ในใจข้าเป็นกังวลยิ่งนัก จึงส่งสายตาให้คุณหนูรอง…”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวขมวดคิ้วเป็นปมไม่หยุด พลางกล่าวว่า “ทุกคนล้วนกล่าวว่าเจียงซื่อเป็นสตรีผู้เพียบพร้อมด้วยคุณธรรมอันดีมิใช่หรือ ข้าดูแล้วคงมิใช่เรื่องจริงเสมอไปกระมัง ลูกโตถึงเพียงนี้แล้ว ไม่ว่าจะพบเจอเรื่องอะไร ก็ควรจะพูดเกลี้ยกล่อมมิใช่ห้ามปรามอย่างเดียว นางทำเช่นนี้ ไม่ช้าไม่เร็วจะต้องบีบคั้นบุตรสาวจนเสียคนเป็นแน่ เสาจิ่น ทางด้านนี้ข้าไม่มีเรื่องอะไรแล้ว เจ้าไปดูนางเถิด ต้องค่อยๆ ปลอบใจนางให้ดี ทว่าก็ไม่อาจดึงเรื่องของนางมาข้องเกี่ยวกับตนเอง ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร สุดท้ายหลานเจียกับเจียงซื่อก็เป็นแม่ลูกกัน หากคนนอกยื่นมือเข้าไปในเวลานี้แล้วจัดการได้ดีก็ถือว่าดีไป แต่ถ้าจัดการได้ไม่ดี กลัวว่าทั้งสองฝ่ายจะผิดใจกัน กลายเป็นทำดีแล้วไม่ได้ดีไปเสีย!”
โจวเสาจิ่นพยักหน้าหงึกๆ กล่าวว่า “ข้าจะจดจำถ้อยคำของท่านเอาไว้เจ้าค่ะ” แต่จะให้นางปล่อยมือออกไปเช่นนี้ นางก็รู้สึกยังเป็นห่วงฮูหยินผู้เฒ่ากัวอยู่บ้าง กล่าวว่า “ฮูหยินผู้เฒ่า หรือไม่ ท่านกับพวกปี้อวี้เล่นไพ่ใบไม้กันดีหรือไม่เจ้าคะ ตอนนี้ยังมีเวลาอีกหนึ่งชั่วยามกว่าจะถึงเวลารับประทานอาหารค่ำ หากผู้ใดชนะในวันนี้จะได้เข้าไปสั่งกับข้าวเพิ่มที่ครัวเล็กได้หนึ่งอย่าง!”
ปี้อวี้และคนอื่นๆ เองก็อยากจะหลอกล่อให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวมีอารมณ์เบิกบานเช่นเดียวกัน แต่ด้วยสถานะของพวกนาง จึงไม่มีผู้ใดที่อาจหาญเท่าโจวเสาจิ่น ที่กล้าตัดสินใจแทนฮูหยินผู้เฒ่ากัว พอได้ยินแล้วก็พากันพูดเย้าแหย่อย่างอดไม่ได้ว่า “คุณหนูรอง ท่านไม่อาจใช้คุณหนูเจียมาเป็นข้ออ้างเพื่อหลบหนีไปหรอกนะเจ้าคะ แม้นตัวท่านออกไปได้ แต่ต้องทิ้งเงินเอาไว้ด้วยเจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นเองก็มีใจอยากจะหยอกเย้ากับพวกนางเช่นกัน กล่าวขึ้นว่า “ข้ามีเศษเงินอยู่สองเหลี่ยง มอบให้พวกเจ้าทั้งหมดเลยก็แล้วกัน!”
“คุณหนูรองนี่ออกจะเกินไปแล้วกระมัง” เจินจูอยากให้บรรยากาศครึกครื้นขึ้นอีกเล็กน้อย กล่าวขึ้นว่า “จะทิ้งพวกเราไว้ด้วยเงินแค่สองเหลี่ยง พวกเราไม่ยอมหรอกเจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นยิ้มน้อยๆ พลางกล่าว “เช่นนั้นเจ้าต้องการเท่าไร”
“อย่างไรก็ต้องมีสักสามถึงห้าเหลี่ยงเจ้าค่ะ” เจินจูกล่าวยิ้มๆ
“ไอ้โหยว!” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่อยู่ กล่าวขึ้นว่า “สาวใช้ใหญ่ข้างกายข้า เงินแค่สามถึงห้าเหลี่ยงก็จะเอาให้ได้ เจ้าช่างมีแววนัก!”
หมาเหน่าและคนอื่นต่างหัวเราะขบขัน



VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน