เข้าสู่ระบบผ่าน

ยามดอกวสันต์ผลิบาน นิยาย บท 292

เฉิงฉือเห็นแล้วก็ยกยิ้มพลางกล่าวกับฮูหยินผู้เฒ่ากัวว่า “ท่านแม่ ท่านดูสิขอรับ! พอท่านไม่ไปพบนาง แม้แต่สาวใช้ของนางยังรู้สึกซาบซึ้งใจเป็นอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าเด็กน้อยผู้นั้นคงรู้สึกเหนื่อยจนลุกไม่ขึ้นจริงๆ ไม่เช่นนั้นนางจะไม่มาอยู่เป็นเพื่อนท่านได้อย่างไร”

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวหลุดหัวเราะ กล่าวขึ้นว่า “เป็นเจ้าที่รู้จักพูด!”

ไม่รู้ว่าตกลงแล้วเด็กผู้นั้นเป็นอย่างไรบ้าง แต่ในส่วนของมารดาทางด้านนี้ มีคำพูดของเขาไม่กี่ประโยคนี้แล้ว นางก็น่าจะรอดไปได้แล้ว

เฉิงฉือยิ้มน้อยๆ บอกให้สาวใช้เด็กยกสำรับเข้ามา

ครั้นรับประทานอาหารเสร็จแล้ว เขาก็เอ่ยถึงเรื่องของตระกูลกู้กับฮูหยินผู้เฒ่ากัวอีกครั้งว่า “…เหตุใดถึงอยากจะเชิญท่านไปเป็นแขกหรือขอรับ พวกเขายังอยู่ในช่วงไว้ทุกข์อยู่นี่นา! หมู่นี้ข้าไม่ได้เจอจิ่วเนี่ยเลย พรุ่งนี้อยากให้ข้าไปเป็นเพื่อนท่านหรือไม่ขอรับ”

หากเขาตามมารดาไปจวนตระกูลกู้ด้วย เด็กผู้นั้นก็ไม่ต้องรู้สึกพะว้าพะวงอะไร จะได้พักผ่อนอยู่ในบ้านได้อย่างไร้กังวลสักวันหนึ่ง

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเอ่ยถามอย่างสงสัยว่า “หืม เจ้าสนใจเรื่องชาวบ้านตั้งแต่เมื่อใดกัน”

เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ ว่า “หากเป็นเรื่องของผู้อื่นข้าคงไม่ถามหรอกขอรับ แต่นี่เป็นเรื่องของตระกูลกู้ ยังไม่ต้องพูดถึงความสัมพันธ์ของข้ากับจิ่วเนี่ย เพียงแค่นายหญิงผู้เฒ่าที่ล่วงลับไป ยามที่ข้าเป็นเด็กนางก็เคยอุ้มข้า ให้ขนมแก่ข้า ข้าไม่ปรารถนาจะเห็นว่าเถ้ากระดูกของนางยังไม่ทันเย็นชืดลง บุตรหลานก็ทะเลาะเบาะแว้งกันด้วยเรื่องเหล่านี้ให้นางต้องเสียใจเสียแล้ว”

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวได้ยินแล้วก็ถอนหายใจอย่างอดไม่ได้ พลางกล่าว “ความจริงข้าก็เห็นด้วยที่พวกเขาจะแยกตระกูลกัน บุตรหลานหลายๆ รุ่นต่างอาศัยอยู่ร่วมบ้านเดียวกันหมดเช่นนี้ โดยเฉพาะยามที่มีงานแต่งงานหรืองานศพต่างๆ กองกลางก็ออกเงินให้ได้ไม่มากนัก แต่ละบ้านจะออกเงินสมทบให้เป็นการส่วนตัวก็ไม่ง่ายอีก บรรดาบุตรเขยและบุตรสะใภ้ของตระกูลในระยะหลังก็ไม่ได้มีแววหรือมีความคิดความอ่านเหมือนกับบรรดาบุตรเขยและบุตรสะใภ้จากสองรุ่นก่อนสักเท่าใด ไปครั้งนี้ ข้าก็อยากจะหารือเรื่องนี้กับคนของตระกูลกู้ ไม่สู้แยกทรัพย์สมบัติแต่ไม่แยกบ้านเหมือนจวนของพวกเราเสียจะดีกว่า เช่นนี้ทั้งสามารถรักษาชื่อเสียงของบรรพชนตระกูลกู้ และรักษาความรักใคร่ปรองดองระหว่างแต่ละบ้านได้อีกด้วย ซึ่งจะเป็นการดีต่อทั้งสองฝ่าย”

เรื่องที่ตระกูลนี้จะแยกบ้านหรือไม่ หรือจะแยกกันอย่างไรนั้น สุดท้ายแล้วยังต้องได้รับความเห็นชอบของนายท่านผู้เฒ่ากับนายท่านทั้งหลายของตระกูลกู้ พวกเขาก็เพียงไปฟังคนเหล่านั้นบ่นระบายความขุ่นเคืองในใจก็เท่านั้น

เฉิงฉือยกยิ้มพลางหลอกล่อมารดาให้คลายกังวลว่า “ความคิดนี้ของท่านดียิ่งขอรับ! หากตระกูลกู้ยังไม่ฟังอีก ข้าว่าท่านก็ไม่ต้องไปยุ่งแล้ว ปล่อยให้พวกเขาทะเลาะกันเองไปเถอะ ถึงเวลานั้นอย่างมากที่สุดก็เชิญข้าไปเป็นคนกลางช่วยไกล่เกลี่ยให้พวกเขา!”

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวได้ยินแล้วก็รู้สึกขบขัน กล่าวว่า “เจ้ามันคนไหลไปตามคำบัญชาของผู้เป็นใหญ่ดั่งคนที่ปีนขึ้นไปตามเสาคนหนึ่งจริงๆ ประเดี๋ยวก็บอกว่าไม่อยากไปบ้านตระกูลกู้เพื่อเห็นความสัมพันธ์อันเนิ่นนานของพวกเขาสูญเสียไป ประเดี๋ยวก็บอกอีกว่าปล่อยให้พวกเขาทะเลาะกันไปเถอะ ตกลงเจ้าจะเอาอย่างไรกันแน่”

ข้ากลัวว่าพรุ่งนี้ท่านจะไม่ออกไปข้างนอก…

ความคิดนี้แล่นผ่านห้วงความคิดของเฉิงฉือโดยไม่ทันตั้งตัว

เขาอึ้งงันไปเล็กน้อย รีบควบคุมอารมณ์ของตน กล่าวขึ้นว่า “นี่มิใช่ว่าข้างหนึ่งก็เป็นฝ่ามือของข้าอีกข้างหนึ่งก็เป็นหลังมือของหรอกหรือ ทั้งกลัวว่าตระกูลกู้จะมีเรื่องวุ่นวายขึ้นและกลัวว่าท่านจะต้องรู้สึกลำบากใจ”

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวหัวเราะร่า

ทว่าเฉิงฉือกลับมีเหงื่อเย็นไหลอาบไปทั่วร่าง

เขาคิดจะขับไล่ไสส่งมารดาออกไปข้างนอกได้อย่างไร…

เฉิงฉือนั่งไม่ติดที่อีกครั้ง

รอยยิ้มของมารดาทำให้เขารู้สึกละอายใจยิ่งนัก

เขาลุกขึ้นกล่าวอำลา

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเห็นว่าท้องฟ้าเริ่มมืดแล้ว เมื่อคืนเฉิงฉือไม่ได้นอนทั้งคืน ช่วงกลางวันของวันนี้ก็ได้นอนพักไปเพียงสองชั่วยาม หลงจู๊รองของสิบสามห้างก็ติดตามหลงจู๊ใหญ่ของพวกเขามาเยี่ยมเฉิงฉือแล้ว นางจึงไม่ได้รั้งเขาเอาไว้ เพียงบอกให้เขารีบเข้านอนเร็วๆ หากรู้สึกเหนื่อยล้าเกินไป พรุ่งนี้ก็ไม่ต้องไปตระกูลกู้เป็นเพื่อนนางแล้ว

เฉิงฉือขานรับแล้วออกจากเรือนไป

ทว่ายามที่เดินผ่านเรือนฝูชุ่ย เห็นกิ่งต้นทับทิมยื่นออกมาจากข้างหลังกำแพงดอกไม้ ฝีเท้าของเขาก็เชื่องช้าลง

ภายในเรือนฝูชุ่ยเงียบสงัด แสงจันทร์กระจ่างสุกใส เงาแมกไม้วูบไหวเป็นจุดดวงด่างดำ

เขานึกถึงคำพูดของโจวเสาจิ่นที่ว่า เหตุใดหอซื่ออี๋ถึงมองเห็นแผนผังโครงสร้างของจวนรอง จวนสาม จวนสี่ กระทั่งจวนห้าได้คร่าวๆ แต่กลับไม่มองเห็นจวนหลักเลย…มองไปแล้วล้วนเห็นแต่ต้นไม้พุ่มไม้หนาทึบเต็มไปหมด

นั่นก็เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้อื่นสอดแนมได้

ดังนั้นพอตกกลางคืน จวนหลักจึงไม่แขวนโคมไฟเอาไว้ใต้ชายคา

เด็กน้อยเข้ามาอาศัยอยู่ที่นี่นานพักหนึ่งแล้ว ไม่รู้ว่าจะสังเกตเห็นความผิดปกตินี้บ้างหรือเปล่า

จึงยิ่งทำให้เขาจำท่าทางของเด็กน้อยผู้นั้นขณะเอ่ยถามเขาได้อย่างชัดเจน

คิ้วเรียวบางย่นเข้าหากันเล็กน้อย ดวงตาเมล็ดซิ่งดวงโตราวกับน้ำพุขาวใสนั้นจ้องเขาไม่กะพริบ…

เฉิงฉือหวนนึกถึงความรู้สึกยามที่นางอยู่ในอ้อมกอดของตนขึ้นมา

นางอิงแอบแนบอยู่กับตัวเขาอย่างว่าง่าย รูปร่างบอบบางแต่อ่อนนุ่ม เผยให้เห็นสัดส่วนโค้งเว้าได้รางๆ อ่อนวัยทว่าเต็มไปด้วยความอ่อนช้อย…

เขามองเงาด่างดำเป็นดวงของต้นไม้เหล่านั้น พร้อมกับหัวเราะหยันตนเอง

จากนี้ไป เขาพบนางให้น้อยลงจะดีกว่า

นางยังเพียงเป็นเด็กสาวคนหนึ่งอยู่!

เรื่องอะไรก็ยังไม่เข้าใจ…

เฉิงฉือค่อยๆ กลับเรือนหลีอินไปอย่างช้าๆ สั่งซางมามาว่า “เจ้าไปสอบถามที่เรือนฝูชุ่ยสักหน่อย ดูว่าบ่ายวันนี้คุณหนูเจียพูดคุยอะไรกับคุณหนูรองไปบ้าง แล้วกลับมารายงานข้า!”

ซางมามาขานรับแล้วออกไป

โจวเสาจิ่นถอดอาภรณ์ล้มตัวลงไปนอนแล้ว

ชุนหว่านโน้มน้าวนางเสียงเบาว่า “คุณหนูรอง ท่านยังไม่ได้รับมื้อเย็นเลยนะเจ้าคะ”

“ข้าไม่อยากกิน!” โจวเสาจิ่นตอบอย่างห่อเหี่ยวไร้ชีวิตชีวา “รอให้ข้ามีอารมณ์กินแล้วค่อยว่ากันอีกที! ตอนนี้ข้าอยากนอน!”

ชุนหว่านมองดวงตาของนางที่ร้องไห้จนบวมเป่งราวลูกท้อ ลังเลไปชั่วขณะหนึ่ง แล้วกล่าวขึ้นว่า “เช่นนั้นท่านต้องบอกพวกข้าว่าท่านร้องไห้ด้วยเรื่องอันใด เป็นเพราะคุณหนูเจียว่าอะไรมาใช่หรือไม่เจ้าคะ”

นางจำได้ว่าเมื่อก่อนยามที่โจวเสาจิ่นไปหาเฉิงเจีย หลังจากกลับไปถึงเรือนหว่านเซียงแล้ว บางครั้งก็จะนอนร้องห่มร้องไห้เงียบๆ อยู่บนเตียงอย่างตอนนี้เช่นกัน รอให้ผ่านไปสองสามวันแล้วนางค่อยถามใหม่ พบว่าเป็นเพราะคุณหนูได้เสื้อผ้าชุดใหม่ หรือไม่ก็พูดอะไรมาไม่กี่ประโยคเพียงเท่านั้น ทว่านั่นมันเรื่องเก่านานนมมาแล้ว เหตุใดคุณหนูรองถึงร้องไห้ขึ้นมาอีกแล้ว

“นางไม่ได้ว่าอะไร” โจวเสาจิ่นใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดขอบตา พลางกล่าวอย่างเศร้าสร้อยว่า “ข้าเพียงคิดถึงพี่สาว ไม่รู้ว่านางจะไปจิงเฉิงเมื่อใด แล้วเมื่อไรจะได้พบหน้ากันอีก” กล่าวขึ้นอีกว่า “เจ้าไม่ต้องสนใจข้า ข้าได้ร้องไห้ออกมาแล้วอีกประเดี๋ยวอารมณ์ก็ดีขึ้นเอง”

นี่ก็นับว่าเป็นเรื่องจริง

แต่ก่อนหลังจากที่คุณหนูรองร้องไห้ออกมาแล้วก็จะลืมเรื่องเหล่านั้นไปทั้งหมด

นางยกจอกชาที่ดื่มหมดจอกแล้วขึ้นมา กล่าวยิ้มๆ ว่า “คุณหนูรอง วันนี้ข้าเป็นเวรดึก หากท่านต้องการสิ่งใด ก็เรียกใช้ข้าได้เลยนะเจ้าคะ”

Verify captcha to read the content.VERIFYCAPTCHA_LABEL

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน