ที่โจวเสาจิ่นร้องไห้ต้องมิใช่เพราะคิดถึงพี่สาวอย่างแน่นอน
เช่นนั้นนางเสียใจด้วยเรื่องอะไรกันแน่
เฉิงฉือพลันหายจากอาการง่วงในทันที
เขาตะโกนเรียกซางมามาเข้ามา เอ่ยขึ้นว่า “เจ้าไปสืบความที่เรือนหรูอี้สักหน่อย ดูว่าคุณหนูเจียพูดอะไรกับคุณหนูรองไปบ้าง”
ซางมามาเพิ่งจะขึ้นเตียงไปพักผ่อนได้ครู่เดียวก็ถูกเฉิงฉือเรียกเข้ามา ยังคิดว่าเกิดเรื่องใหญ่อะไรขึ้น คิดไม่ถึงว่าสุดท้ายจะเป็นเรื่องนี้ กล่าวคือ วันนี้นางวิ่งไปที่เรือนฝูชุ่ยมาสองครั้งแล้ว แต่นางยังคงรู้จักสำรวจสีหน้าคนเป็นอย่างดีเหมือนที่ผ่านมา ก้มหน้าก้มตาลง ขานรับเงียบๆ ว่า “เจ้าค่ะ” แล้วกล่าวขึ้นอย่างนอบน้อมว่า “นายท่านสี่ ตอนนี้เป็นเวลายามสามแล้ว ไปเวลานี้เกรงว่าเรือนหรูอี้คงปิดประตูกันหมดแล้ว ข้าค่อยไปพรุ่งนี้ตั้งแต่ฟ้าสางเลยดีหรือไม่เจ้าคะ”
เฉิงฉือถึงได้รู้สึกตัวว่าตนเสียอาการไปเล็กน้อย กล่าวขึ้นว่า “จะไปสืบเรื่องเวลาไหนนั้นถือเป็นเรื่องรอง แต่เรื่องที่สำคัญคือต้องสอบถามมาให้ละเอียดชัดเจน อย่าให้เป็นเหมือนกับที่เรือนฝูชุ่ย สิ่งที่สอบถามมาได้ล้วนเป็นเพียงคำอธิบายผิวเผินตามมารยาทเท่านั้น”
ซางมามาขานรับอย่างนอบน้อม แล้วถอยออกไป
เฉิงฉือนอนตาค้างอยู่ครู่ใหญ่ถึงได้หลับลงได้
ฟ้าเพิ่งจะสางในวันรุ่งขึ้น ซางมามาก็มารายงานว่า “นายหญิงผู้เฒ่าหลี่ของจวนสามมีหลานชายผู้หนึ่งนามว่าหลี่จิ้ง ดูเหมือนว่าจะสนใจในตัวคุณหนูเจีย แต่ไม่ว่าอย่างไรฮูหยินใหญ่หลูก็ไม่เห็นด้วยเนื่องจากหลี่จิ้งมีพื้นเพเป็นพ่อค้า เมื่อหลายวันก่อนฮูหยินใหญ่หลูมีธุระเชิญหลี่จิ้งเข้ามาพูดคุยกันที่จวน ได้พบคุณหนูเจียโดยบังเอิญ คุณหนูเจียจึงได้คุยกับหลี่จิ้งไปสองสามประโยค เนื่องด้วยฮูหยินใหญ่หลูยุ่งอยู่กับเรื่องงานแต่งของคุณชายใหญ่เจิ้ง ชั่วขณะนั้นไม่มีเวลามาดูแลคุณหนูเจีย จึงกักบริเวณคุณหนูเจียเสีย…”
นางจัดลำดับเรื่องราวได้เป็นอย่างดี เล่าเรื่องที่ผ่านมาทุกอย่างให้เฉิงฉือฟัง
เฉิงฉือจึงยิ่งสับสนงงงวยมากขึ้น เอ่ยขึ้นว่า “แล้วคุณหนูรองร้องไห้ด้วยเรื่องอะไร”
ในเมื่อเรื่องที่เฉิงเจียพูดมาล้วนเป็นเรื่องของนางกับหลี่จิ้ง แล้วเด็กผู้นั้นเป็นอะไรขึ้นมากันนะ
ซางมามาสับสนและงงงวยยิ่งกว่าเฉิงฉือเสียอีก กล่าวรับประกันไม่หยุดว่า “นายท่านสี่ ข้าไปขอความช่วยเหลือจากคนของตงถิงถึงสืบความมาได้ หากท่านไม่เชื่อ ข้าจะเรียกเด็กผู้นั้นของตงถิงเข้ามา ท่านสอบถามนางด้วยตัวเองก็ได้เจ้าค่ะ”
“ไม่ต้องแล้ว!” แววตาของเฉิงฉือวูบไหวเล็กน้อย กล่าวขึ้นว่า “โดยมากคงเป็นเพราะคุณหนูเจียพูดอะไรที่ไปกระทบใจคุณหนูรองโดยไม่รู้ตัวเข้า เรื่องนี้ก็ให้พอแค่นี้ก็แล้วกัน!”
ซางมามาก้มหน้าลงขณะขานรับ “เจ้าค่ะ” แล้วถอยออกไป
เฉิงฉือยืนเอามือไพล่หลังอยู่เบื้องหน้าหน้าต่างอยู่ครู่หนึ่ง ชิงเฟิงก็วิ่งเข้ามา กล่าวขึ้นว่า “นายท่านสี่ ฮูหยินผู้เฒ่าถามว่า ท่านยังจะไปตระกูลกู้เป็นเพื่อนนางอยู่หรือไม่ หากไม่ไป นางก็จะไปก่อนแล้ว แต่หากท่านจะไปด้วย ท่านต้องไปเวลานี้แล้วขอรับ”
เหตุใดถึงลืมเรื่องนี้ไปเสียได้!
เฉิงฉือเปลี่ยนอาภรณ์ จากนั้นก็รีบเร่งไปที่เรือนหลัก
เขาได้ยินเสียงหัวเราะกังวานใสของมารดามาตั้งแต่ไกลๆ
ใบหน้าของเฉิงฉือเองก็แต้มไปด้วยรอยยิ้มอย่างห้ามไม่อยู่
เขาอยู่บ้าน มารดามีคนอยู่เป็นเพื่อน อารมณ์จึงดีกว่าเมื่อก่อนมากนัก
นึกถึงมารดาที่เฝ้ารอคอยตนอยู่ตลอด เขาไม่รอให้สาวใช้เด็กที่เฝ้าเวรยามที่หน้าประตูเอ่ยรายงาน ก็ก้าวเข้าไปยังห้องโถงรับรองแล้วอย่างรวดเร็ว
แจกันดอกไม้ขนาดใหญ่ที่วางอยู่บนโต๊ะตัวยาวในห้องโถงรับรองปักเอาไว้ด้วยดอกโบตั๋นสีแดงสดดอกใหญ่
โจวเสาจิ่นสวมชุดเพ่ยจื่อผ้าไหมหังโจวสีฟ้าไร้ลวดลาย กระโปรงจีบสีขาวพระจันทร์ ยืนยิ้มร่าอยู่ข้างๆ แจกันดอกไม้ใบนั้น
ถึงแม้จะแต่งตัวเรียบง่ายเช่นนั้น แต่ดอกไม้สีสดงดงามนั้นไม่เพียงไม่ทำให้นางดูจืดชืดไร้สีสัน ในทางกลับกัน กลับเป็นฉากหลังขับให้นางดูงดงามราวกับภาพวาด ดูเปล่งประกายแวววาวราวหยกเนื้อดี
เฉิงฉือหยุดหายใจไปชั่วขณะอย่างอดไม่ได้
มิใช่ว่าให้นางพักผ่อนอยู่ที่เรือนฝูชุ่ยหรอกหรือ
เหตุใดถึงวิ่งมาอยู่ที่นี่
เขาขมวดคิ้วมุ่นเล็กน้อย กำลังคิดจะถามว่าเกิดอะไรขึ้น ฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็หัวเราะร่าและกล่าวขึ้นมาเสียก่อนว่า “ขาดเจ้าเพียงผู้เดียวแล้ว! เอาล่ะ คนมากันครบแล้ว เจ้าไปบอกคนเฝ้าเวรยามที่โรงจอดเกี้ยวสักหน่อยว่า พวกเราจะออกเดินทางกันแล้ว”
ประโยคสุดท้ายนั้น เป็นการกล่าวกับสื่อมามา
เฉิงฉือประหลาดใจ เอ่ยขึ้นว่า “เสาจิ่นก็ไปด้วยหรือขอรับ”
“ใช่แล้ว!” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวตบที่หลังมือของโจวเสาจิ่นเบาๆ อย่างมีความสุข กล่าวขึ้นว่า “เด็กคนนี้ช่างเอาใจใส่ บอกว่าไม่มีเรื่องอะไรแล้ว จะได้ตามข้าไปเยี่ยมคุณหนูทั้งหลายที่ตระกูลกู้ด้วยพอดี”
นี่มันเรื่องอะไรกัน
เฉิงฉือมองไปที่โจวเสาจิ่น
โจวเสาจิ่นเองก็คิดไม่ถึงว่าเฉิงฉือจะไปตระกูลกู้เป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่ากัวด้วยเหมือนกัน
ซึ่งตอนที่นางทราบเรื่องนั้นฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็ให้คนไปเรียกเฉิงฉือแล้ว
นางคงไม่อาจพูดว่า ‘ในเมื่อท่านน้าฉือไปเป็นเพื่อนท่านแล้ว เช่นนั้นข้าไม่ไปแล้วก็แล้วกัน’ หรอกกระมัง
แต่เมื่อนึกถึงเมื่อวานที่นางร้องไห้ยกใหญ่อย่างไร้เหตุผล เพียงเพราะกลัวว่าจะสูญเสียเกราะกำบังอย่างท่านน้าฉือไป นางก็รู้สึกไม่กล้าสู้หน้าเฉิงฉือเล็กน้อย
เวลานี้เฉิงฉือมีท่าทางอยากจะสอบถามนาง นางรู้สึกขลาดกลัวเล็กน้อยอย่างอธิบายไม่ได้ กล่าวเสียงเบาว่า “ขะ…ข้าไม่เป็นอะไรแล้วเจ้าค่ะ…ฮูหยินผู้เฒ่าบอกว่านางจะไปเป็นแขกที่ตระกูลกู้ ข้าคิดว่าท่านน้าฉือมีธุระต้องไปจัดการ จึงรับปากอาสาไปเยี่ยมตระกูลกู้เป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่ากัว…ข้าไม่ทราบว่าท่านน้าฉือจะไปเป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่าด้วยเจ้าค่ะ…”
เฉิงฉือรู้สึกหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้
ยังรับปากอาสาไปเป็นเพื่อนอะไรนั่นอีก!
ตระกูลกู้เป็นบ่อมังกรหรือไม่ก็รังเสือหรืออย่างไร
ถ้านางรู้ว่าตนจะไปตระกูลกู้ด้วย ก็จะไม่ไปด้วยอย่างนั้นหรือ
หลอกให้เขาเป็นกังวลใจแทนนางไปครึ่งค่อนคืน!
ช่างเป็นลูกสุนัขจิ้งจอกตาขาวผู้หนึ่งที่เลี้ยงไม่เชื่องเสียจริง!
อย่างไรก็ดี เขากลัวว่ามารดาไปตระกูลกู้เพียงลำพังยามเจอเรื่องไม่สบายใจแล้วจะไม่มีผู้ใดคอยปลอบโยน ส่วนนางก็กลัวว่ามารดาไปเยี่ยมตระกูลกู้เพียงลำพังจะไม่มีคนไปเป็นเพื่อนด้วย…ทั้งสองคนต่างคิดไปในทางเดียวกันโดยมิได้นัดหมาย
เมื่อคิดเช่นนี้แล้ว ก็ถือได้ว่าเด็กผู้นี้มีจิตใจดีอยู่บ้าง
อารมณ์ของเฉิงฉือสงบลงมาเล็กน้อย
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวรู้ว่าหลายวันมานี้เฉิงฉืองานยุ่งมาก อีกทั้งยังเข้าใจไปว่าเขาโมโหที่พวกนางทำให้งานของเขาต้องล่าช้า จึงรีบกล่าวขึ้นว่า “เอาละๆ เรื่องนี้เป็นข้าเองที่ไม่ได้กล่าวให้ชัดเจน เสาจิ่นเองก็มีเจตนาดี หากเจ้ามีธุระ เจ้าก็ไปจัดการธุระของเจ้าเถิด ข้าไปตระกูลกู้พร้อมกับเสาจิ่นก็ได้แล้ว”
พวกเขาไปตระกูลกู้เพื่อเป็นคนกลาง มิได้ไปเพื่อชมนกชมไม้ มีเสาจิ่นที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรตามไปด้วย เขาจะไม่ไปได้อย่างไร

VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน