กูที่สิบเจ็ดตะลึงงันอยู่ตรงนั้น ผ่านไปครู่ใหญ่แล้วก็ยังไม่ได้สติคืนกลับมา
กระทั่งเมื่อได้สติคืนกลับมา ก็อดไม่ได้หัวเราะคิกขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่
ตระกูลกู้เป็นตระกูลใหญ่ที่ร่ำรวยมั่งคั่ง คนหลายต่อหลายรุ่นล้วนอาศัยอยู่ด้วยกันทั้งหมด ลูกหลานที่เติบโตขึ้นมาจากตระกูลเช่นนี้ มักจะรู้จักการสำรวจสีหน้าของผู้คนมาตั้งแต่เล็กๆ เวลาจะพูดหรือกระทำอะไรก็ต้องยั้งเอาไว้ส่วนหนึ่ง ญาติพี่น้องที่อยู่รอบข้าง มิตรสหายที่คบค้าสมาคมด้วย หรือผู้คนที่ไปมาหาสู่กันนั้น ต่อให้ลับหลังจะเกลียดชังกันจนแทบอยากจะแทงด้วยมีดแต่ต่อหน้าล้วนต้องนำสุราออกมาต้อนรับขับสู้และเรียกขานกันว่าพี่น้อง นางไหนเลยจะเคยพบเห็นคนที่จริงใจและตรงไปตรงเช่นโจวเสาจิ่น การแสดงออกของโจวเสาจิ่นจริงจัง สีหน้าก็จริงใจ ทำให้ต่อให้เจ้าอยากจะโกรธก็ไม่รู้ว่าควรจะโกรธใครดี อยากจะจับผิดก็ไม่มีเหตุผลอะไรมาจับผิดได้
นี่คงเป็นสิ่งที่เรียกกันว่า ‘ทำให้ทหารยอมจำนนโดยที่ยังไม่ได้ต่อสู้’ นั่นกระมัง
กูที่สิบเจ็ดหัวเราะจนควบคุมตัวเองไม่ได้
โจวเสาจิ่นงุนงง กล่าวขึ้นอย่างไม่ค่อยสบายใจว่า “ข้าพูดอะไรผิดไปใช่หรือไม่”
“เปล่าๆ” กูที่สิบเจ็ดหัวเราะพลางจับไหล่ของโจวเสาจิ่นเอาไว้ กล่าวขึ้นว่า “เจ้ากล่าวได้ถูกต้องยิ่งนัก” กล่าวอีกว่า “ถ้าหากว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวกับท่านอาสี่อนุญาตแล้ว เจ้าจะต้องเล่าให้ข้าฟังว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวมาด้วยเรื่องอะไร ตกลงหรือไม่”
โจวเสาจิ่นพยักหน้าหงึกๆ
บางทีอาจจะเป็นเพราะนางยอมรับอย่างตรงไปตรงมา ทำให้กูที่สิบเจ็ดรู้สึกว่านางน่าเชื่อถือและพึ่งพาได้ ทันใดนั้นก็เกิดความรู้สึกปรารถนาจะระบายความในใจกับนางขึ้นมา รอยยิ้มค่อยๆ จางหายไปพร้อมกับกล่าวขึ้นว่า “เสาจิ่น เจ้าดูสถานที่ที่ข้าพักอาศัยอยู่นี้ก็คงจะรู้แล้ว ถึงแม้ว่าภายนอกตระกูลกู้จะมีชื่อเสียงมาก ทว่าความเป็นอยู่ในแต่ละวันกลับจำกัดจำเขี่ยยิ่งนัก แต่ก็มิใช่เป็นเพราะตระกูลกู้ไม่มีเงิน แต่เป็นเพราะตระกูลกู้มีกฎระเบียบว่า เงินของคลังกองกลางนั้นจะหยิบออกมาให้แต่ละจวนได้เพียงหนึ่งในสามส่วนเท่านั้น บิดาของข้าเป็นบุตรลำดับที่ห้าของตระกูล อายุมากกว่ายี่สิบเจ็ดปีแล้วกว่าจะสอบได้ซิ่วไฉ พี่น้องร่วมสกุลของตระกูลที่เรียนหนังสือจะได้รับเงินจากกองกลาง ทว่าเบี้ยรายเดือนกลับเป็นจำนวนที่ตายตัว กล่าวคือ ซิ่วไฉได้สิบเหลี่ยง จวี่เหรินได้สี่สิบเหลี่ยง และจิ้นซื่อได้แปดสิบเหลี่ยง หากเป็นคนตัวเปล่าเล่าเปลือยไร้ตำแหน่ง ก่อนแต่งงานจะได้เพียงหนึ่งเหลี่ยง ส่วนหลังแต่งงานแล้วจะได้เพียงสองเหลี่ยงเท่านั้น”
โจวเสาจิ่นได้ยินแล้วก็ปากอ้าตาค้าง
ในหนึ่งเดือนพ่อบ้านแม่บ้านที่มีความสามารถข้างกายฮูหยินผู้เฒ่ากัวต่างก็ได้รับเบี้ยรายเดือนเป็นเงินสองเหลี่ยงแล้ว…
“บรรพบุรุษของพวกท่านตั้งกฎเช่นนี้ขึ้นมา คงเพราะต้องการกระตุ้นให้บุตรหลานตั้งใจเล่าเรียนหนังสือกระมัง” นางกล่าวขึ้นอย่างอดไม่ได้
กูที่สิบเจ็ดพยักหน้า กล่าวขึ้นว่า “อยู่ด้านนอกตระกูลกู้มีชื่อเสียงมากนัก ด้วยเหตุนี้สตรีของตระกูลกู้จึงไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปหารายได้อย่างเปิดเผยได้ ดังนั้นก่อนหน้านี้รายจ่ายของบ้านข้าจึงอาศัยสินเดิมของมารดาข้า ต่อมาก็อาศัยความอนุเคราะห์จากตระกูลฝั่งมารดาของข้า โชคดีที่เมื่อถึงเวลาเป็นผู้ใหญ่แล้วพี่น้องในตระกูลต่างก็ได้ย้ายออกไปตามลำดับ ไม่อย่างนั้นต่อให้ได้รับความอนุเคราะห์จากตระกูลฝั่งมารดาของข้า พวกข้าพี่น้องต่อให้อยากจะซื้อดอกไม้มาประดับสักชิ้นก็เกรงว่าคงจะไม่มีเงินซื้อ”
ค่าใช้จ่ายประจำวันกับค่าเสื้อผ้าทั้งสี่ฤดูของตระกูลกู้คงจะได้รับการแบ่งสันปันส่วนมาจากคลังกองกลางกระมัง
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเป็นการแบ่งสันปันส่วนมาจากคลังกองกลาง เช่นนั้นคงไม่มีทางเลือกอะไรมากมายเป็นแน่ อย่างมากก็ให้เจ้าได้กินอิ่มและไม่หนาวตายก็เท่านั้น
แต่คนที่ไปมาหาสู่กับตระกูลกู้ล้วนเป็นตระกูลใหญ่ตระกูลโตของเมืองจินหลิงทั้งนั้น จึงพอจะจินตนาการได้ว่าชีวิตของกูที่สิบเจ็ดเป็นอย่างไรบ้าง
โจวเสาจิ่นกล่าวขึ้นอย่างอดไม่ได้ว่า “หากพี่สาวไม่รังเกียจ ข้ายังมีผ้าดีๆ อีกหลายพับ วันหน้าจะให้คนส่งมาให้พี่สาวเอาไว้ตัดชุดสำหรับฤดูใบไม้ร่วง”
เมื่อถึงฤดูใบไม้ร่วง กูที่สิบเจ็ดก็น่าจะออกจากการไว้ทุกข์แล้ว
นางกล่าวขึ้นอีกอย่างอดไม่ได้ว่า “พี่สาวหมั้นหมายหรือยังเจ้าคะ”
กูที่สิบเจ็ดผู้ตรงไปตรงมาหน้าแดงขึ้นมาอย่างที่น้อยครั้งนักที่จะได้เห็น กล่าวขึ้นว่า “ยังหรอก!”
โจวเสาจิ่นเม้มปากกลั้นหัวเราะ
จะได้ตัดชุดสักสองสามชุดเอาไว้สำหรับดูตัว
กูที่สิบเจ็ดกลับยิ้มอย่างขื่นขมพร้อมกับกล่าวขึ้นว่า “มีตระกูลใหญ่ในเมืองจินหลิงตระกูลใดบ้างที่ไม่ทราบกฎข้อนี้ของตระกูลกู้ของพวกข้า ต่อให้ข้าสวมชุดที่ทำจากผ้าไหมชั้นดีผู้อื่นก็ไม่มองข้าเป็นกูที่ยี่สิบได้หรอก”
กูที่ยี่สิบของตระกูลกู้คือบุตรสาวของนายท่านรองของตระกูลกู้
นายท่านรองของตระกูลกู้สอบเป็นจวี่เหรินได้ตั้งแต่อายุยี่สิบเอ็ดปี อีกทั้งยังได้แต่งงานกับบุตรสาวของตระกูลผู้ดีในเมืองจินหลิง ในปีนั้นเพียงแค่สินติดตัวก็มีมากถึงหนึ่งร้อยยี่สิบสี่คนหาม
โจวเสาจิ่นเองก็ไม่รู้ว่าควรจะปลอบโยนนางอย่างไรดี
แต่กูที่สิบเจ็ดกลับเป็นคนที่ร่าเริงอยู่เสมอ เป็นคนสบายๆ กว่าโจวเสาจิ่นมากนัก กล่าวยิ้มๆ ว่า “เรื่องของข้าปล่อยให้เป็นเรื่องของสวรรค์กำหนดครึ่งหนึ่งและโชคชะตาอีกครึ่งหนึ่งเถิด เจ้าก็อย่าได้ฟังข้าพูดเช่นนี้แล้วเก็บมากังวลใจแทนข้าเลย ถึงแม้ว่าพวกเราพี่น้องจะเข้ากันได้ดี แต่บางเรื่องก็ไม่อาจเล่าให้กันฟังได้ วันนี้ได้ระบายกับเจ้าเช่นนี้ ข้ารู้สึกสบายใจขึ้นมาก”
โจวเสาจิ่นรีบกล่าว “ถ้าหากว่าต่อไปพี่สาวมีเรื่องไม่สบายใจอีก ก็ให้มาคุยกับข้าก็แล้วกัน”
กูที่สิบเจ็ดกล่าวขึ้นว่า “ไม่กลัวว่าจะทำให้เจ้าไม่สบายใจไปด้วยหรือ”
“ไม่เจ้าค่ะๆ” โจวเสาจิ่นส่ายศีรษะอย่างขัดเขิน
กูที่สิบเจ็ดจึงเชิญให้นางชิมขนมเปี๊ยะไส้ดอกเถิงหลัว กล่าวขึ้นว่า “ข้าเองก็ทำเป็นเหมือนกัน เพียงแต่ว่าทำได้ไม่อร่อยเท่าน้องสาวสิบแปดเท่านั้น หากเจ้าชื่นชอบ ประเดี๋ยวข้าจะขอจากนางให้เจ้านำกลับไปด้วยสักเล็กน้อย”
กลัวแต่ว่ารับน้ำใจของกูที่สิบแปดมาแล้ว เมื่อถึงเวลากูที่สิบเจ็ดจะต้องใช้สิ่งของอย่างอื่นตอบแทนน้ำใจในครั้งนี้
โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ ว่า “ก็เพียงรู้สึกแปลกใหม่เท่านั้น ข้าชอบกินอะไรที่นุ่มๆ มากกว่าเจ้าค่ะ”
กูที่สิบเจ็ดได้ยินแล้วก็กล่าวยิ้มๆ ว่า “พอเจ้าพูดถึงเรื่องนี้ ข้ามีเรื่องอยากจะขอร้องเจ้าเรื่องหนึ่ง คราวก่อนไปเป็นแขกที่ซอยจิ่วหรู โรงครัวของพวกเจ้าทำขนมถั่วลันเตาเหลืองกวนได้อร่อยยิ่งนัก เจ้าช่วยนำความไปบอกเฉิงเจีย ให้นางส่งขนมมาให้ข้าสักสองสามกล่องในนามของนางได้หรือไม่ หลังจากที่ท่านป้าสะใภ้ใหญ่ของข้าได้กินแล้วกลับมาก็ชมไม่ขาดปาก ข้าพิจารณาดูแล้วอีกไม่กี่วันก็จะวนมาถึงคราวของข้าต้องพูดคุยเรื่องแต่งงานแล้ว อยากจะเอาใจขอความโปรดปรานจากนาง เพื่อที่นางจะได้ช่วยดูให้ข้าดีๆ สักหน่อย”
โจวเสาจิ่นได้ยินแล้วก็ได้แต่รู้สึกปวดแปลบใจ รู้ว่าจวนห้าอาจจะไม่ค่อยมีสถานะอะไรในตระกูลกู้ หากกูที่สิบเจ็ดปรารถนาจะแต่งงานกับตระกูลดีๆ สักตระกูลหนึ่ง ก็ต้องขอให้ฮูหยินใหญ่ของตระกูลกู้ออกหน้าไปช่วยดูตัวกับตระกูลฝ่ายชายให้
นางรีบกล่าวขึ้นว่า “นอกจากขนมถั่วลันเตาเหลืองกวนแล้ว ท่านป้าสะใภ้ใหญ่ของท่านยังชอบกินอะไรอย่างอื่นอีกหรือไม่ หรือไม่ ข้าจะบอกพี่สาวเจีย ให้บรรจุขนมทุกอย่างมาอย่างละนิดอย่างละหน่อย ทำเป็นกล่องขนมรวมมิตรส่งมาให้หนึ่งกล่อง ทั้งดูดีด้วยแล้วก็ดูให้เกียรติด้วย”
“อย่างไรก็ได้!” กูที่สิบเจ็ดกล่าวยิ้มๆ “ข้าเพียงอยากจะขอใช้อำนาจของตระกูลเฉิงเท่านั้น ไม่ได้อยากจะได้ขนมของตระกูลเฉิงจริงๆ”
โจวเสาจิ่นพยักหน้าหงึกๆ ครุ่นคิดว่าเมื่อกลับไปแล้วจะไปหารือกับท่านน้าฉือสักหน่อย แทนที่จะส่งมาให้ในนามของเฉิงเจีย ไม่สู้ส่งมาให้ในนามของฮูหยินผู้เฒ่ากัวจากจวนหลักจะดีกว่า ด้วยนิสัยของฮูหยินผู้เฒ่ากัว เมื่อทราบความตั้งใจอันเอาใจใส่นี้ของกูที่สิบเจ็ดแล้ว จะต้องให้ความช่วยเหลืออย่างแน่นอน
ต่อมาทั้งสองคนก็พูดคุยกันถึงเรื่องงานฝีมือต่างๆ โจวเสาจิ่นยังสอนกูที่สิบเจ็ดสานพู่ดอกเหมยชิ้นหนึ่งด้วย ทั้งสองคนต่างเล่นด้วยกันอย่างมีความสุข
ทางด้านของเฉิงฉือมีนายท่านห้าของตระกูลกู้มาอยู่เป็นเพื่อนด้วยทว่ากลับรู้สึกรำคาญใจเล็กน้อย


VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน