เฉิงฉือยิ้มเย็น
ฉินจื่อผิงรีบกล่าวขึ้นว่า “เช่นนั้นข้าจะไปหานายท่านรองขอรับ”
นายท่านรองที่ว่าก็คือเฉิงเว่ยพี่ชายคนรองของเฉิงฉือนั่นเอง
นี่ก็อีกเรื่องหนึ่ง
เฉิงฉือพยักหน้า
ฉินจื่อผิงถอยออกไป
เฉิงฉือนั่งอยู่ในห้องหนังสือลำพัง หลับตาลงนั่งเอนกายพักกับพนักพิงหลังอยู่บนเก้าอี้มีเท้าแขน ครุ่นคิดอยู่กับความคิดของตัวเอง
ชีวิตนี้ของพี่ชายรองก็ทำตามแบบอย่างของท่านอารองที่สละตำแหน่งให้พี่ชายใหญ่ แม้แต่บุตรชายคนเดียวอย่างรั่งเกอเอ๋อร์ ก็เพียงสอนให้เขาอ่านออกเขียนได้ให้พอมีความรู้พื้นฐานเท่านั้น ด้วยกลัวว่าจะไปมีข้อขัดแย้งกับเจียซ่าน ทำให้ผู้อื่นมาหัวเราะเยาะจวนหลักได้ แต่พี่ชายใหญ่กลับซื่อตรงมากเกินไป บางครั้งก็เถรตรงมากเกินไป
แต่ความรุ่งโรจน์ของครอบครัวหนึ่ง จะพึ่งพาเพียงแค่คนคนเดียวก็ได้แล้วจริงๆ หรือ
หากเปิดเผยพรสวรรค์อันโดดเด่นออกมา จะนำพาให้ต้องพบพานกับความเคลือบแคลงสงสัยและความหวาดกลัวของราชวงศ์อย่างนั้นหรือ
แต่ต่อให้ตระกูลเฉิงจะเจียมตัวถึงเพียงนี้ สุดท้ายแล้วก็ไม่วายถูกลงโทษทั้งตระกูลอยู่ดีมิใช่หรือ
มีความคิดอันกล้าหาญหนึ่งผุดขึ้นมาในใจของเฉิงฉือ
แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้คิดอย่างถี่ถ้วน โจวเสาจิ่นก็มาหาเสียก่อน
เขาให้ซางมามาเชิญโจวเสาจิ่นไปที่ห้องรับรอง ส่วนตัวเองหมุนกายไปหยิบกระปุกใบชาต้าหงเผาแล้วถึงได้เดินไปที่ห้องรับรอง
โจวเสาจิ่นกำลังนั่งอยู่บนตั่งหลัวฮั่นพร้อมกับพลิกตำราเล่นหมากล้อมที่เขาวางไว้บนโต๊ะน้ำชา เสื้อกั๊กปี๋เจี่ยสีชมพูของผลซิ่งขับเน้นใบหน้าขาวงดงามของนาง ตุ้มหูระย้าไข่มุกขนาดเท่าเม็ดบัวสว่างสุกใส ทำให้นางดูเจิดจรัสขึ้นหลายส่วนท่ามกลางความงดงามนั้น เป็นความงามที่ยากจะอธิบายออกมาได้
ตุ้มหูระย้าคู่นั้นเขาเป็นคนมอบให้นาง…
เฉิงฉือสูดหายใจอย่างยากลำบากเล็กน้อย มีความรู้สึกละเอียดอ่อนที่อธิบายออกมาไม่ได้บางอย่างเกิดขึ้นในใจ
โจวเสาจิ่นที่สัมผัสได้ถึงความเคลื่อนไหวหันกลับมาด้วยรอยยิ้มร่า กล่าวขึ้นเสียงหนึ่งอย่างดีใจว่า “ท่านน้าฉือ” ดวงตาสุกใสยิ้มหยีจนคล้ายพระจันทร์เสี้ยว
เฉิงฉือยกกระปุกใบชาในมือขึ้นเงียบๆ กล่าวขึ้นว่า “พวกเรามาชงชาต้าหงเผากัน”
โจวเสาจิ่นกระโดดลงจากตั่งหลัวฮั่น กล่าวอย่างลิงโลดว่า “ข้าจะต้มน้ำให้เองเจ้าค่ะ”
เฉิงฉือหัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ เอ่ยเย้าแหย่นางว่า “ความสามารถเจ้ามีเพียงเรื่องนี้แล้ว”
โจวเสาจิ่นไม่เห็นด้วย กล่าวยิ้มๆ อย่างน่าเอ็นดูว่า “มาตรฐานของท่านน้าฉือสูงถึงเพียงนี้ น้ำที่ข้าต้มมาทำให้ท่านพึงพอใจได้ แสดงว่าฝีมือก็ไม่เลวสักเท่าไรแล้วเจ้าค่ะ”
คำพูดโอ้อวดของนางทำให้เฉิงฉือขบขันจนหัวเราะขึ้นมาอีกครั้ง
หลั่งเย่ว์ตามไปช่วยโจวเสาจิ่นต้มน้ำอย่างรู้ความ โจวเสาจิ่นเองก็ไม่คัดค้าน ด้านหนึ่งก็คุกเข่านั่งลงบนเบาะพัดเตาไฟไปด้วย อีกด้านหนึ่งก็ยิ้มพลางกล่าวกับเฉิงฉือไปด้วยว่า “วันนี้ข้าไปนั่งเล่นกับคุณหนูสิบเจ็ดของตระกูลกู้มาเจ้าค่ะ คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่า ตระกูลกู้ใหญ่โตถึงขนาดนั้นก็ยังไม่มีที่ให้พักอาศัย แต่คุณหนูสิบเจ็ดบอกว่า ที่พักของนางยังถือว่าดีแล้ว เพราะหันหน้าไปทางทิศเหนือ ซึ่งตรงกันข้ามกับห้องข้างที่น้องสาวสิบเก้ากับน้องสาวยี่สิบของนางพักอยู่อย่างสิ้นเชิง ที่หันหน้าไปทางทิศตะวันตก ช่วงฤดูหนาวยังดีหน่อย อย่างมากก็สวมเสื้อผ้าหลายๆ ชั้นหน่อย แต่พอถึงฤดูร้อนนั้น ร้อนจนคนเป็นโรคหัดเลยทีเดียว พวกนางจึงให้คุณหนูสิบเก้ากับคุณหนูยี่สิบมาอยู่ที่ห้องโถงกลาง…”
เฉิงฉือพลิกตำราเล่นหมากล้อมไปด้วย ขานตอบนางอย่างใจลอยไปด้วยว่า “ดังนั้นจึงมีตระกูลใหญ่ตระกูลโตมากมายที่เปลือกนอกดูยิ่งใหญ่ ทว่าความเป็นจริงแล้วชีวิตในแต่ละวันกลับไม่ได้ดีไปกว่าตระกูลทั่วๆ ไปสักกี่มากน้อย มีบางตระกูล เสื้อผ้า รองเท้าและถุงเท้าของทั้งสี่ฤดูในหนึ่งปีต่างต้องทำด้วยตัวเอง ไม่เคยจ้างช่างตัดเย็บมาก่อน แล้วไปพูดกับคนภายนอกว่าเพราะเป็นของใช้ส่วนตัว กลัวว่าจะถูกผู้อื่นพบเห็นเข้า แต่ความเป็นจริงแล้วอะไรที่ประหยัดได้ก็ต้องประหยัด”
โจวเสาจิ่นทราบดี
ตระกูลที่เสื่อมเกียรติอำนาจถดถอยลงแล้วจำนวนไม่น้อยในจิงเฉิงต่างก็มีชีวิตเช่นนี้
“สุดท้ายแล้วก็ต้องให้บุตรหลานประสบความสำเร็จถึงจะดี” นางกล่าว “หากเอาแต่นั่งกินนอนกิน ต่อให้เป็นภูเขาก็กินจนหมดได้ หาไม่ก็ไม่ต้องเอาแต่คิดถึงหน้าตา ใช้ชีวิตให้เรียบง่าย อะไรที่ประหยัดได้ก็ควรต้องประหยัด”
ข้อนี้เฉิงฉือเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง
โจวเสาจิ่นเห็นว่าน้ำเดือดแล้ว จึงใช้ผ้าเช็ดหน้าค่อยๆ ยกกาน้ำที่ต้มจนเดือดแล้วเดินเข้าไปอย่างระมัดระวัง เอ่ยขึ้นเพื่อหาเรื่องชวนคุยว่า “ท่านน้าฉือกำลังดูอะไรอยู่หรือเจ้าคะ”
กลิ่นหอมอ่อนๆ ที่ไม่รู้ว่าคือกลิ่นอะไรโฉบผ่านจมูกของเขา
เฉิงฉือยิ้มน้อยๆ อารมณ์พลันแจ่มใสขึ้นมาเป็นอย่างมาก กล่าวยิ้มๆ ว่า “ก็หน้าที่เจ้าเพิ่งพลิกดูเมื่อครู่นี้ หมากกระดานที่หลิวฝู่จือเล่นกับเซียนแม่เฒ่าบนเขาหลีซาน”
โจวเสาจิ่นได้แต่หัวเราะ
เมื่อครู่นางดูไปรอบหนึ่ง ทว่าดูไม่เข้าใจเลยสักนิด รู้สึกเพียงว่าด้านข้างยังเหลือพื้นที่ว่างอีกมาก ยังมีพื้นที่ให้เริ่มเดินหมากและแข่งให้รู้แพ้รู้ชนะกันได้อีก
เฉิงฉือเองก็ไม่ได้คาดหวังว่านางจะเข้าใจ ไปรับกาน้ำจากมือของนาง กล่าวขึ้นว่า “ระวังร้อน ให้ข้าจัดการเถิด!”
“ไม่ต้องเจ้าค่ะๆ” โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ “ข้าจะล้างถ้วยชาให้ท่านเองเจ้าค่ะ”
เฉิงฉือชายตามองนางครั้งหนึ่ง เอ่ยขึ้นว่า “เจ้าทำเป็นหรือ”
“ข้าย่อมทำเป็นอยู่แล้วเจ้าค่ะ!” โจวเสาจิ่นเบิกดวงตาโพลงจ้องเฉิงฉือครั้งหนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “เพียงแต่ว่าฝีมือชงชาไม่ได้สูงส่งเท่าท่านก็เท่านั้น!”
เฉิงฉือไม่กล่าวอะไร
แต่แสดงออกด้วยท่าทางที่บ่งบอกว่าเจ้าก็รู้ดีอยู่แล้ว
โจวเสาจิ่นหัวเราะอย่างขวยเขิน ยื่นกาน้ำส่งให้เฉิงฉือ
เฉิงฉือล้างถ้วยชาและอุ่นกาน้ำชาด้วยท่วงท่าชำนาญ
โจวเสาจิ่นนั่งมองอยู่ข้างๆ
พอเทน้ำเข้าไปในกาน้ำชา กลิ่นหอมของชาก็ลอยกรุ่นออกมา
โจวเสาจิ่นอดไม่ได้ที่จะสูดหายใจเข้าลึกๆ ครั้งหนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “กลิ่นหอมยิ่งนักเจ้าค่ะ”
เฉิงฉือยกยิ้มที่มุมปาก เทน้ำชาลงไปในจอกชาขนาดเล็ก
VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน