เฉิงฉือชายตามองโจวเสาจิ่นครั้งหนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “เจ้าว่างมากหรือ”
โจวเสาจิ่นยิ้มหน้าแดง
นางเองก็เคยคิดอยากจะทำอะไรให้เฉิงฉือบ้างเป็นครั้งคราวเหมือนกัน แต่เมื่อคิดถึงว่าข้างกายเฉิงฉือมีหนานผิงอยู่ ความคิดนี้ก็จะมลายหายไปในทันที ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้นางยังต้องทำชุดให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวอีกหลายตัว เวลาค่อนข้างกระชั้นชิดอยู่บ้างจริงๆ แต่อย่างไรก็ตาม ก็มิใช่ว่านางจะหาเวลามาทำให้ไม่ได้…
เฉิงฉือราวกับมองความคิดของนางได้ทะลุปรุโปร่ง กล่าวขึ้นว่า “เรื่องพวกนี้ทำเป็นครั้งคราวก็พอ อย่าทำตัวเสมือนกับเป็นช่างเย็บปักผู้หนึ่ง ตัวเองต้องรู้จักรักและถนอมตัวเอง เข้าใจหรือไม่ อย่าเอาแต่คิดถึงผู้อื่น”
โจวเสาจิ่นรู้สึกมีความอบอุ่นไหลผ่านหัวใจ
ท่านน้าฉือ ไม่ว่าเวลาใดก็มักจะคิดถึงนางก่อนเสมอ…ต่อให้เป็นการอบรมสั่งสอน ทุกประโยคล้วนพูดเพื่อประโยชน์ของนางทั้งนั้น!
ขอบตาของนางรื้นชื้นขึ้นเล็กน้อย ก้มหน้าลงพร้อมกับขานรับอย่างเกรงใจว่า “เจ้าค่ะ”
เฉิงฉือเห็นนางเชื่อฟัง จึงอารมณ์ดียิ่งนัก ตะโกนเรียกหลังเย่ว์ที่เฝ้าเวรยามอยู่หน้าประตูเข้ามา สั่งให้เขาไปหยิบเสื้อคลุมผ้าฝ้ายเนื้อละเอียดสีขาวพระจันทร์ที่แขวนอยู่บนราวแขวนผ้าของตนมา “…ตัวที่หนานผิงเพิ่งทำเสร็จ เตรียมให้ข้าใส่ออกไปในวันพรุ่งนี้ตัวนั้น”
หลั่งเย่ว์ไปหยิบเสื้อคลุมเข้ามาในทันที
โจวเสาจิ่นเห็นเฉิงฉือสวมชุดจื๋อตัวผ้าฝ้ายเนื้อละเอียดสีน้ำเงินไพลินเพียงตัวเดียวเท่านั้น ขณะที่กำลังสงสัยอยู่ในใจว่าเหตุใดเขาถึงอยากจะเปลี่ยนชุดในเวลานี้ แล้วตัวเองต้องหลบออกไปก่อนหรือไม่อยู่นั้น ก็เห็นเฉิงฉือตวัดชุดที่อยู่ในมือชุดนั้นลงบนร่างของนาง กล่าวขึ้นว่า “คลุมทับเอาไว้! ลมกลางคืนเย็นขนาดนี้ คนรับใช้ข้างกายเจ้าเหล่านั้นเป็นคนอย่างไรกัน เหตุใดถึงไม่เตือนให้เจ้าสวมเสื้อเพิ่มอีกสักตัว ปล่อยให้เจ้าออกมาเช่นนี้ได้อย่างไร”
นางกะพริบตาปริบๆ ถึงได้สติคืนกลับมา แต่เมื่อได้สติคืนกลับมาแล้วก็กระโดดตัวโหยงพร้อมกับกล่าวขึ้นว่า “ข้าไม่อยากสวมเสื้อตัวนี้เจ้าค่ะ!”
เฉิงฉือขึงตามองมาครั้งหนึ่ง
โจวเสาจิ่นพลันนิ่งเงียบไปในทันที ทว่าในใจกลับคิดว่า พรุ่งนี้เป็นวันอะไรนะ เหตุใดท่านน้าฉือต้องสวมชุดสีขาวพระจันทร์ออกไปข้างนอกด้วย หากรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้แต่เนิ่นๆ นางคงจะไม่สวมเสื้อกั๊กปี๋เจี่ยสีชมพูผลซิ่งตัวนี้หรอก! นางสวมเสื้อคลุมตัวนี้ทับเอาไว้แต่สีเสื้อด้านในเข้มกว่าตัวด้านนอก บังเอาไว้ไม่มิด…ต้องดูน่าเกลียดมากเป็นแน่
แต่ท่านน้าฉือพูดแล้ว นางจึงไม่กล้าขัดคำสั่ง
โจวเสาจิ่นกระวนกระวายประหนึ่งนั่งอยู่บนเบาะเข็ม
เฉิงฉือได้แต่กล่าวขึ้นว่า “เช่นนั้นข้าจะให้หลั่งเย่ว์ไปหยิบเสื้อของหนานผิงมาให้เจ้าสวมทับแทน!”
เช่นนั้นนางยอมสวมเสื้อของท่านน้าฉือดีกว่า
อย่างไรเสียเขาก็ได้เห็นสภาพอันน่าเกลียดของนางไปแล้ว
โจวเสาจิ่นได้แต่กล่าวปลอบใจตัวเองว่า “ไม่ต้องเจ้าค่ะๆ ตัวนี้ก็ดีมากแล้ว”
เสื้อสีขาวพระจันทร์ดูเสมือนกับกรงสีขาวที่ห่อหุ้มตัวเด็กน้อยเอาไว้ด้านใน เฉิงฉือรู้สึกว่าดียิ่ง จึงเลือกที่จะทำเป็นมองไม่เห็นอาการกระเง้ากระงอดปากไม่ตรงกับใจของโจวเสาจิ่นเสีย ชี้ไปที่ตำราเล่นหมากล้อมที่นำไปเก็บไว้ข้างๆ เมื่อครู่นี้พร้อมกับกล่าวขึ้นว่า “มา มาเดินหมากเป็นเพื่อนข้า!”
เอ๋!
โจวเสาจิ่นเบิกดวงตาโต ในใจบังเกิดความยินดีอยากจะเล่นขึ้นมาอย่างกระตือรือร้น ยิ้มร่าพร้อมกับพยักหน้าหงึกๆ
ช่างเป็นเด็กโง่ผู้หนึ่งจริงๆ!
ก็เพียงแค่เล่นหมากล้อมเท่านั้น
ต้องดีใจมากขนาดนั้นเชียว
ถึงเวลาเล่นแพ้แล้วก็อย่าพาลตีโพยตีพายก็แล้วกัน
แต่ก็รู้สึกว่าตีโพยตีพายไปก็ไม่เป็นไร อย่างไรเสียก็เป็นการฆ่าเวลา ใช่ว่าเขาจะคาดหวังให้เด็กผู้นี้มาเดินหมากเป็นเพื่อนเขาได้จริงๆ เสียหน่อย
มุมปากของเฉิงฉือยกยิ้มน้อยๆ คนหนึ่งถือหมากสีดำ อีกคนหนึ่งถือหมากสีขาว ค่อยๆ เดินหมากกันไปอย่างไม่รีบร้อน
หลั่งเย่ว์ชงชาอยู่ข้างๆ อย่างระมัดระวัง
ทุกครั้งที่ถึงคราวต้องลงหมากโจวเสาจิ่นล้วนยกศอกขึ้นและมองก่อนกว่าครึ่งค่อนวัน
ข้อมือขาวเนียนประหนึ่งหยกมันแพะโผล่ออกมาจากแขนเสื้อกว้าง
เฉิงฉือคิด น่าจะส่งกำไลข้อมือหยกโมราไปให้นางสักคู่หนึ่ง
ต้องซื้อแบบที่เรียวและเล็กประเภทนั้น
หรือจะเป็นหยกมรกตก็ไม่เลวเหมือนกัน
หากว่าใหญ่ไป ก็สวมเป็นกำไลรัดต้นแขนก็น่าจะดูดีไม่น้อย
แต่ไม่ควรสวมพวกเครื่องเงินหรือทอง
โดยเฉพาะทอง
เพราะดูธรรมดาสามัญเกินไป
เขาคิดไปเรื่อยเปื่อย วางหมากตัวหนึ่งลงไปอย่างส่งๆ
โจวเสาจิ่นเห็นเขาใจไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว จึงลอบค่อนแคะอยู่ในใจ
ท่านน้าฉือทำเกินไปแล้วจริงๆ!
มีเรื่องให้ต้องคิดก็ยังจะลากนางมาเล่นหมากด้วยอีก
เห็นๆ อยู่ว่าใช้นางเป็นตัวฆ่าเวลา
ต้องไม่ปล่อยให้เขาละเลยตนเช่นนี้…
นางกลอกตาไปมา รีบหยุดมือของเฉิงฉือเอาไว้ บุ้ยปากกล่าวขึ้นว่า “ประเดี๋ยวก่อนเจ้าค่ะๆ ข้ายังคิดไม่เสร็จเจ้าค่ะ”
บัณฑิตผู้ทรงภูมิวางหมากแล้วไม่มีเสียใจภายหลัง
เฉิงฉือมองท่าทางของนางที่ประหนึ่งกำลังเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ ครุ่นคิดครู่หนึ่ง จากนั้นก็เก็บมือกลับไปยิ้มๆ
โจวเสาจิ่นรู้แล้วว่าตาถัดไปเฉิงฉือเตรียมจะวางหมากลงตรงไหน จึงลอบยิ้ม จากนั้นหยิบหมากที่เพิ่งวางลงไปเมื่อครู่ขึ้นมาแล้ววางลงไปยังอีกตำแหน่งหนึ่ง
เช่นนี้ ท่านน้าฉือก็ไม่อาจวางหมากลงไปในตำแหน่งที่หมายจะวางเมื่อครู่นั้นได้แล้ว
จากนั้นเฉิงฉือก็วางหมากลงไป
ตำแหน่งหมากที่วางลงไปในครั้งนี้ไม่ได้ยอดเยี่ยมเท่ากับตำแหน่งก่อนหน้านี้
โจวเสาจิ่นรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง
จากนั้นภายในห้องก็มีเสียงที่ทั้งอ่อนหวานและหยดย้อยของโจวเสาจิ่นดังขึ้นมาให้ได้ยินอยู่เป็นระยะๆ “ท่านน้าฉือ เหตุใดท่านถึงต้องวางหมากเร็วถึงเพียงนี้ด้วย ข้ายังคิดไม่เสร็จเลยเจ้าค่ะ!”
“ไม่ใช่ๆ ข้าตั้งใจจะวางตรงนี้ต่างหากเจ้าค่ะ!”
“ท่านน้าฉือ ถึงแม้ฝีมือการเล่นหมากของข้าจะไม่ได้ยอดเยี่ยม แต่ท่านก็ทำเช่นนี้ไม่ได้ เห็นๆ อยู่ว่าข้าวางมันลงตรงนี้!”
เฉิงฉือรู้สึกสนุกสนานยิ่งนัก
มีคนที่เล่นหมากล้อมแล้วพาลได้ถึงระดับนี้ และยังพาลแบบเอาความคิดตนเป็นที่ตั้งเช่นนี้อยู่ด้วย
เขาหัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
ทว่าหลั่งเย่ว์กลับปากอ้าตาค้าง
นี่ยังนับว่าเป็นการเล่นหมากล้อมอยู่หรือ
คุณหนูรองวางหมากแล้วก็ดึงกลับไปเพื่อวางใหม่ ทำเช่นนี้จนจบ
แต่นายท่านสี่ก็ยังมีแก่ใจเล่นเป็นเพื่อนคุณหนูรองที่โวยวายเช่นนี้อยู่อีก!
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งแล้ว เขาก็ยิ่งนับถือโจวเสาจิ่น
แม้แต่ซื่อจื่อของจวนเหลียงกั๋วกงก็ยังไม่กล้าโวยวายต่อหน้านายท่านสี่เช่นนี้เลย
คุณหนูรองช่างกล้าหาญยิ่งนัก!

VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน