คนที่อยู่ภายในห้องได้ยินแล้วต่างตะลึงงัน
คุณหนูใหญ่ของจวนเหลียงกั๋วกง ก็คืออาจูมิใช่หรือ
นางแต่งงานไปไกลถึงเป่าติ้งได้อย่างไร
โจวเสาจิ่นถามขึ้นอย่างร้อนรนว่า “นี่มันเรื่องตั้งแต่เมื่อใดหรือเจ้าคะ เหตุใดพวกเราถึงไม่มีใครรู้เรื่องเลย”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวขมวดคิ้วมุ่น เห็นได้ชัดว่าก็รู้สึกเช่นกันว่าเรื่องไม่ค่อยปรกตินัก
เฉิงฉือรู้ดีว่า เมื่อพูดประโยคนี้ออกไปแล้วจะหันเหความสนใจของทุกคนได้ ด้วยเหตุนี้จึงกล่าวสิ่งที่ยิ่งทำให้คนประหลาดใจมากยิ่งขึ้นว่า “จะว่าไปแล้ว เรื่องนี้เป็นข้าที่สนับสนุนเองขอรับ!”
โจวเสาจิ่นกับฮูหยินผู้เฒ่ากัวต่างก็เบิกดวงตาโพลง
เฉิงฉือถึงได้กล่าวอย่างช้าๆ ว่า “ช่วงเดือนสอง มีข่าวเรื่องที่ชิ่งอ๋องผู้ปกครองซื่อชวนถูกตัดสินโทษเนื่องจากยึดที่ดินทำกินส่วนที่อุดมสมบูรณ์ของประชาชนไปอย่างมิชอบด้วยกฎหมายแพร่งพรายออกมา ไม่เพียงถูกลดฐานันดรศักดิ์เท่านั้น ยังถูกริบเบี้ยรายเดือนสองปีอีกด้วย เหลียงกั๋วกงรู้สึกว่าทิศทางลมที่มีต่อเรื่องนี้หลังจากถูกเปิดเผยออกไปไม่ค่อยดีนัก ด้วยเหตุนี้จึงอยากจะให้บุตรสาวได้แต่งกับตระกูลที่สามารถฝากชีวิตเอาไว้ได้ตลอดชีวิตสักตระกูลหนึ่ง…
…เขาจึงมาขอร้องข้าที่นี่…
…พอดีกับตอนที่ข้าเดินทางไปจิงเฉิงนั้นได้พบกับหยวนเปี๋ยอวิ๋น เขาเพิ่งกลับมาจากเป่าติ้ง เอ่ยถึงสหายเก่าแซ่ฟ่านผู้หนึ่งของตัวเองขึ้นมา ข้ารู้สึกว่าเหมาะสมเป็นอย่างมาก จึงเสนอให้เหลียงกั๋วกง…
…เหลียงกั๋วกงส่งคนไปสืบอยู่หลายเดือน แล้วก็ถูกชะตากับบุตรชายคนรองของตระกูลฟ่าน…
…ข้าเขียนจดหมายไปบอกหยวนเปี๋ยอวิ๋น…
…หยวนเปี๋ยอวิ๋นเองก็รู้สึกว่าเหมาะสมเช่นกัน เขาเดินทางไปเป่าติ้งด้วยตัวเองครั้งหนึ่ง งานแต่งนี้จึงถูกกำหนดลงมาด้วยประการฉะนี้ เมื่อผ่านพ้นเทศกาลวันไหว้บ๊ะจ่างแล้ว ก็น่าจะส่งสินสอดมาให้เจ้าสาวแล้ว…
…เหลียงกั๋วกงอยากจะให้บุตรสาวแต่งออกไปให้เร็วขึ้นสักหน่อย เมื่อหลายวันก่อนยังมอบหมายให้จูเผิงจวี่ไปดูฤกษ์วันอีกด้วย…
…หากไม่มีข้อผิดพลาดอะไร หลังผ่านพ้นวันที่สิบห้าเดือนแปดแล้วคุณหนูใหญ่ตระกูลจูก็จะแต่งออกไปแล้วขอรับ”
โจวเสาจิ่นอ้าปากค้างพูดอะไรไม่ออก
อาจู ถูกจับแต่งงานออกไปเช่นนี้น่ะหรือ
นางมองไปที่เฉิงฉือ แล้วก็มองไปที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัว รู้สึกราวกับว่าตัวเองกำลังอยู่ในความฝันก็ไม่ปาน
แต่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกลับมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก กล่าวขึ้นว่า “ตระกูลฟ่านมีพื้นเพเป็นอย่างไร เจ้าอย่าจับคู่ผิดๆ เชียว!” จากนั้นก็มองไปที่โจวเสาจิ่นครั้งหนึ่ง
ความหมายก็คือ ถ้าบุตรชายของตระกูลฟ่านดีปานนั้น แล้วเหตุใดเจ้าถึงไม่จับคู่ให้โจวเสาจิ่นสักคนหนึ่งเล่า
อยู่ต่อหน้าโจวเสาจิ่น เฉิงฉือไม่อาจกล่าวอะไรมากได้
เดิมทีตั้งใจจะไปดูตัวคนผู้นี้ให้โจวเสาจิ่น แต่ต่อมาเขาค้นพบว่าตระกูลฟ่านยึดถือกาลเทศะมากเกินไป อีกทั้งพายุทรายที่เป่าติ้งก็รุนแรงมาก แล้วโจวเสาจิ่นเด็กผู้นี้ก็เป็นคนขี้กลัวและพูดน้อยสงบปากสงบคำ หากแต่งเข้าไปแล้วเกรงว่าจะยิ่งระแวดระวังตัวเก็บน้ำคำมากขึ้น ให้จูจูที่เป็นคนร่าเริงมีชีวิตชีวา ไม่ว่าจะเป็นการปีนต้นไม้หรือต้องเข้าไปอยู่ในห้องที่เป็นทางการก็ทำได้อย่างสบายๆ ไม่ติดขัดแต่งเข้าไปจะเหมาะสมกว่า
เขาได้แต่กล่าวขึ้นว่า “สิ่งที่จวนเหลียงกั๋วกงให้ความสำคัญคือคุณสมบัติของอีกฝ่าย ตระกูลฟ่านถือเป็นตระกูลลำดับต้นๆ ของเป่าติ้งในรัชสมัยก่อน ถึงแม้ตอนนี้จะถดถอยลงแล้ว แต่จริยธรรมจรรยาของตระกูลก็มียังอยู่ เคยมีคนถือเงินทองจำนวนมากมาค้างคืนที่บ้านสวนของตระกูลฟ่านแล้วเสียชีวิตลงกะทันหัน ตระกูลฟ่านช่วยเก็บรักษาทรัพย์สินของผู้อื่นยาวนานถึงยี่สิบปีโดยไม่แตะต้องเลยแม้แต่แดงเดียว”
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ลูกหลานอาจจะไม่ได้โดดเด่น แต่เป็นคนที่รักษาคำสัญญาอย่างเข้มงวด
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเข้าใจแล้ว
โจวเสาจิ่นกลับฉงนสนเท่ห์ ถามขึ้นอย่างสงสัยใคร่รู้ว่า “ท่านน้าฉือ แล้วผู้อื่นทราบได้อย่างไรว่าตระกูลฟ่านช่วยเก็บรักษาทรัพย์สินให้คนผู้นั้นถึงยี่สิบปี แล้วลูกหลานของคนผู้นั้นเอาหลักฐานอะไรมาพิสูจน์ว่าทรัพย์สินนั้นเป็นของตัวเองเจ้าคะ”
เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ ว่า “มีบ่าวจงรักภักดีของคนผู้นั้นกลับไปแจ้งข่าวให้ที่บ้านทราบตั้งแต่ต้นแล้ว แต่ว่าบุตรชายคนเดียวของคนผู้นั้นยังเล็กนัก อีกทั้งยังกลัวว่าหากไปถามหาทรัพย์สินจากตระกูลฟ่านแล้วจะถูกลอบสังหาร เพราะฉะนั้นจึงอดทนเอาไว้ก่อน กระทั่งบุตรชายของคนผู้นั้นสอบได้จิ้นซื่อ มียศตำแหน่งแล้ว ถึงได้นำบ่าวผู้จงรักภักดีไปถามหาทรัพย์สิน เนื่องจากคนมาเสียชีวิตอยู่ในบ้านสวนของตัวเอง ตระกูลฟ่านจึงเปิดหีบสัมภาระ หมายจะเสาะหาเบาะแสอะไรบางอย่าง ถึงได้ค้นพบทรัพย์สินเหล่านั้น และเนื่องจากว่ามีคนมาเสียชีวิตที่บ้านสวนนั้นถือเป็นลางไม่ดี สุดท้ายตระกูลฟ่านจึงขายบ้านหลังนั้นไปในราคาถูก แล้วยกหีบสัมภาระมาเก็บไว้ที่ห้องเก็บของใต้ดินที่บ้านของตัวเอง ต่อมาเมื่อบุตรชายของคนผู้นั้นมาถามหาทรัพย์สิน หลังจากตรวจนับจำนวนสิ่งของถูกต้องตรงกันหมดแล้ว ตระกูลฟ่านกลัวว่าจะมีคนมากล่าวแอบอ้างสวมรอย จึงเชิญให้เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นไปตรวจสอบบ้านของคนผู้นั้นอีกที ถึงได้คืนทรัพย์สินให้คนตระกูลนั้นไป และเรื่องราวก็ถูกถ่ายทอดบอกต่อๆ กันมาเช่นนี้”
ถ้าหากเป็นเช่นนี้ อาจูแต่งเข้าไปแล้ว ตระกูลฟ่านคงไม่ปฏิบัติกับนางอย่างอยุติธรรมเป็นแน่!
โจวเสาจิ่นนึกถึงกูที่สิบเจ็ดของตระกูลกู้ กล่าวยิ้มๆ ว่า “ท่านน้าฉือ ข้าอยากจะเชิญคุณหนูสิบเจ็ดของตระกูลกู้ด้วยเจ้าค่ะ!” จากนั้นเงยหน้าขึ้นมองฮูหยินผู้เฒ่ากัว กล่าวขึ้นอีกว่า “แล้วก็คุณหนูของตระกูลกัวด้วยเจ้าค่ะ!”
ทางด้านของเฉิงเจียก็ต้องถามดูด้วยเช่นกัน ดูว่านางจะไปดูแข่งเรือมังกรกับตนได้หรือไม่
เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ ว่า “เดิมทีที่จองห้องส่วนตัวเอาไว้สองห้องก็เพื่อให้เจ้าเอาไว้รับรองสหาย เจ้าอยากจะเชิญผู้ใดบ้างก็จดรายชื่อออกมาก็แล้วกัน ถึงเวลาก็ให้สื่อมามาไปส่งเทียบเชิญให้เจ้า”
เช่นนี้ก็จะไม่มีบ้านไหนปฏิเสธคำเชิญของโจวเสาจิ่น
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวไม่ได้สนใจรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เหล่านั้น นางยังคงคิดเรื่องงานแต่งของจูจูอยู่
กระทั่งโจวเสาจิ่นดึงตัวชุนหว่านกลับไปจดรายชื่อแขกที่เรือนฝูชุ่ยอย่างเริงร่าแล้ว นางถามเฉิงฉือว่า “อาจูมีศักดินาเป็นจวิ้นจู่ นางจะแต่งงาน เกรงว่าจะต้องได้รับความเห็นชอบจากราชวงศ์และกรมพิธีการก่อน”
“ข้าให้หยวนเปี๋ยอวิ๋นไปจัดการเรื่องนี้แล้วขอรับ” เฉิงฉือกล่าว “ญาติห่างไกลมิสู้เพื่อนบ้านที่ชิดใกล้ หลายปีมานี้จวนเหลียงกั๋วกงเองก็ปฏิบัติกับพวกเราอย่างให้ความเคารพ เวลานี้ช่วยอะไรพวกเขาได้ก็ช่วยไปเถิด! ชะตาของพวกเขาก็ลำบากไม่น้อยเลยเช่นกัน”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวพยักหน้าช้าๆ กล่าวขึ้นว่า “แล้วตกลงคุณหนูใหญ่ของตระกูลหลิวเป็นอย่างไรบ้าง งานแต่งของเผิงจวี่ดูทำอย่างสุกเอาเผากินอยู่บ้างเล็กน้อย!”
เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ ว่า “เป็นคนที่เผิงจวี่เลือกด้วยตัวเอง มีเรื่องอะไร เขาก็ต้องรับผิดชอบด้วยตัวเองแล้ว คนอื่นอย่างพวกเราไม่อาจจะไปพูดอะไรมากได้”
“นี่ก็ใช่” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวทอดถอนใจว่า “พี่สะใภ้ใหญ่ของเจ้าก็เป็นคนที่พี่ชายใหญ่ของเจ้าเลือกมาด้วยตัวเอง”
เฉิงฉือไม่กล่าวอะไร
ดูเหมือนว่าทุกคนต่างก็มีข้อเสียของตัวเอง
ข้อเสียของมารดาเขาก็คือหยวนซื่อ
ขอเพียงเอ่ยถึงหยวนซื่อ ไม่ว่าจะมองไปทางซ้ายหรือทางขวามารดาของเขาก็รู้สึกไม่เข้าตาไปเสียหมด


VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน