โจวเสาจิ่นค้นพบว่านอกจากเฉิงเจีย กูที่สิบเจ็ด และจูจูแล้ว ตัวเองก็ไม่รู้จะเชิญใครอีกดี
ฝานหลิวซื่อช่วยออกความเห็นให้นาง กล่าวขึ้นว่า “ในเมื่อท่านเชิญคุณหนูสิบเจ็ดของตระกูลกู้แล้ว ก็ควรจะส่งเทียบเชิญให้คุณหนูสิบแปดที่พักอยู่กับคุณหนูสิบเจ็ดผู้นั้นด้วยถึงจะถูก ส่วนบรรดาคุณหนูของตระกูลกัว จะให้ดีควรจะหาใครสักคนไปสืบดู ว่ามีผู้ใดบ้างที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับท่าน แล้วก็ในส่วนของฮูหยินใหญ่เหมี่ยนทางด้านโน้น ไม่รู้ว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวจะเชิญผู้ใด ถ้าฮูหยินผู้เฒ่ากวนตอบรับคำเชิญ อย่างไรฮูหยินใหญ่เหมี่ยนก็ต้องคอยปรนนิบัติอยู่ข้างกายด้วยอย่างแน่นอน หากท่านไม่ส่งเทียบเชิญไปให้ เกรงว่าฮูหยินใหญ่เหมี่ยนต้องรู้สึกไม่ดีอยู่บ้างเป็นแน่ แต่ถ้าส่งเทียบเชิญไปให้ฮูหยินใหญ่เหมี่ยน ทางด้านฮูหยินใหญ่หลูมารดาของคุณหนูเจีย แม้จะไม่พูดอะไร แต่ก็คงจะรู้สึกไม่ดีอยู่บ้าง…”
ความสัมพันธ์พวกนี้ทำให้โจวเสาจิ่นหัวหมุนไปหมด นางจึงถือใบรายชื่อไปหาเฉิงฉือ
เฉิงฉือกำลังนั่งอยู่หน้าโต๊ะหนังสือตัวใหญ่คุยกับบุรุษรูปงามที่โจวเสาจิ่นเห็นในห้องหนังสือของเฉิงฉือเมื่อคราวก่อนผู้นั้นอยู่ เมื่อเห็นโจวเสาจิ่นพรวดพราดเข้ามา จึงกล่าวแนะนำบุรุษผู้นั้นให้โจวเสาจิ่นรู้จัก “ผู้นี้คือฮั่วตงถิง เจ้าเรียกเขาว่าลุงรองฮั่วก็ได้”
โจวเสาจิ่นไม่รู้ว่าในห้องของเฉิงฉือมีผู้อื่นอยู่ด้วย ใบหน้าแดงเรื่อ รีบยอบกายทำความเคารพ
ฮั่วตงถิงตกตะลึงไปครู่หนึ่งถึงได้สติคืนกลับมา หลุบตาลงพร้อมกับถอยออกไปสองสามก้าวแล้วโค้งตัวให้ครั้งหนึ่ง
เฉิงฉือกล่าวกับฮั่วตงถิงว่า “เรื่องของพวกเราประเดี๋ยวค่อยมาคุยกันต่อ เจ้าไปพักดื่มชาที่ห้องน้ำชาสักจอกหนึ่งก่อน จะได้หารือกับฉินจื่ออันด้วยครู่หนึ่ง”
ฮั่วตงถิงประหลาดใจเป็นอย่างมาก
เขามองไปที่โจวเสาจิ่นครั้งหนึ่งอย่างห้ามไม่อยู่ ถึงได้ขานรับอย่างนอบน้อมว่า “ขอรับ” แล้วถอยออกไป
แม้แต่คนโง่ก็ดูออกว่าการพรวดพราดเข้ามาของนางขัดจังหวะการคุยธุระของเฉิงฉือ
โจวเสาจิ่นเกือบจะไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมา จะเดินหน้าต่อหรือจะถอยหลังล้วนยากเย็น
อยากจะบอกให้บุรุษนามว่าฮั่วตงถิงผู้นี้อยู่คุยกับท่านน้าฉือต่อไป แต่ฮั่วตงถิงเป็นบุรุษ แล้วก็ไม่รู้ว่ามีความสัมพันธ์อะไรกับเฉิงฉือ นางจึงไม่รู้ว่าตัวเองควรพูดหรือไม่ควรพูด กลัวว่าตนจะพูดอะไรผิดไป แต่หากไม่บอกให้บุรุษนามว่าฮั่วตงถิงผู้นี้อยู่ต่อ นางทำให้ธุระของเฉิงฉือต้องยุ่งเหยิงไปเช่นนี้ นางก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก
แต่ชั่วขณะที่นางกำลังลังเลอยู่นั้น ฮั่วตงถิงก็ช่วยปิดประตูให้พวกเขาเรียบร้อยแล้ว
โจวเสาจิ่นหน้าร้อนผะผ่าว ก้มหน้าลงพร้อมกับกล่าวขึ้นว่า “ท่านน้าฉือ ข้าไม่รู้ว่าในห้องของท่านมีผู้อื่นอยู่ด้วย…ต่อไปข้าไม่กล้าอีกแล้วเจ้าค่ะ!”
เฉิงฉือเห็นนางก้มหน้าจนศีรษะเกือบจะแนบกับหน้าอกอยู่แล้ว ถอนหายใจออกมาครั้งหนึ่งอย่างช่วยไม่ได้ กล่าวขึ้นว่า “เรื่องนี้ไม่ตำหนิเจ้า เป็นความผิดของพวกชิงเฟิงและหลั่งเย่ว์”
“มิใช่เจ้าค่ะๆ” โจวเสาจิ่นตกใจเป็นอย่างมาก บังเกิดความกลัวว่าเฉิงฉือจะลงโทษชิงเฟิงหรือไม่ก็หลั่งเย่ว์ รีบเงยหน้าขึ้นมา กล่าวอย่างร้อนรนว่า “เป็นข้าที่ไม่เชื่อฟังคำของพวกชิงเฟิงและหลั่งเย่ว์ พรวดพราดเข้ามาเองเจ้าค่ะ…”
เฉิงฉือมองท่าทางร้อนรนจนเกือบจะร้องไห้ของนาง ทั้งรู้สึกน่าขบขันแล้วก็น่าโมโหไปด้วยในคราวเดียวกัน กล่าวขึ้นว่า “เช่นนั้นเจ้าลองพูดมา ว่าผิดที่ตรงไหน”
เอ๋?!
โจวเสาจิ่นเบิกดวงตาโพลง
ดวงตาโตที่เดิมทีใสแจ๋วคู่นั้น เวลานี้รื้นชื้นหม่นหมอง ดูสิ้นหวังและสับสน ประหนึ่งสัตว์ตัวน้อยที่ตกลงไปในกับดักแล้วพยายามร้องขอความช่วยเหลือ
ในใจของเฉิงฉือพลันอ่อนยวบจนสับสนวุ่นวายไปหมด
แต่เขายังคงทำใจแข็งกล่าวขึ้นว่า “เจ้าเดินไปเดินมาอยู่ในเรือนข้าบ่อยๆ พวกมามาหรือบ่าวชายที่เฝ้าเวรยามอยู่เหล่านั้นจึงไม่กล้าขวางเจ้าเอาไว้ คนที่เฝ้าเวรยามอยู่หน้าประตูเมื่อครู่คือชิงเฟิง ข้าให้เขาไปหยิบของบางอย่างมาให้ตงถิง ดังนั้นจึงไม่อยู่ตรงนั้นชั่วคราว ประตูห้องหนังสือก็ปิดเอาไว้ครึ่งหนึ่ง มองจากด้านนอกของประตูที่ปิดเอาไว้ครึ่งหนึ่งนั้น เจ้าคงเห็นเงาของข้านั่งอยู่ข้างโต๊ะหนังสือ ไม่ได้คิดอะไรมาก จึงผลักประตูเดินเข้ามาเลย ใช่หรือไม่”
ดวงตาของโจวเสาจิ่นยิ่งเบิกกว้างมากยิ่งขึ้น
ท่านน้าฉือช่างยอดเยี่ยมยิ่งนัก!
เสมือนกับเห็นด้วยตาตัวเองก็ไม่ปาน
นางโน้มตัวเข้าไปหน้าโต๊ะหนังสืออย่างอดไม่ได้ จับจ้องไปที่เฉิงฉือไม่วางตา
แม้ว่าเฉิงฉือจะสงบนิ่ง แต่ก็เป็นบุรุษที่ยังไม่ได้แต่งงานผู้หนึ่ง พอถูกนางจ้องไม่วางตาเช่นนี้ ใบหูก็แดงขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่
เขากระแอมไอเบาๆ ครั้งหนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “เจ้ามองอะไร”
โจวเสาจิ่นกล่าว “เหตุใดท่านน้าฉือถึงราวกับมีดวงตาสามดวงก็ไม่ปาน ไม่ว่าเรื่องอะไรก็รู้ไปหมด”
“พูดจาเลอะเทอะอะไรของเจ้า” เฉิงฉือได้ยินแล้วก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวตำหนินางยิ้มๆ “ข้าเป็นเทพเจ้าสามตาผู้นั้นหรืออย่างไร”
เทพเจ้าสามตามีสุนัขติดตามอยู่ข้างกายด้วยตัวหนึ่ง
นางจะยกเสวี่ยฉิวให้เขาก็แล้วกัน
นึกภาพเสวี่ยฉิวที่กลิ้งไปกลิ้งมาอยู่ข้างเท้าของเฉิงฉืออย่างออดอ้อนแล้ว โจวเสาจิ่นก็หัวเราะคิกคักออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ กล่าวขึ้นว่า “เทพเจ้าสามตาเป็นบุรุษรูปงามเจ้าค่ะ!”
เฉิงฉือเคอะเขินเป็นอย่างยิ่ง
เด็กน้อยผู้นี้กำลังชมว่าเขารูปงามอย่างนั้นหรือ
โจวเสาจิ่นอยากจะเอากระดาษสักแผ่นมาปิดปากตัวเองยิ่งนัก
เหตุใดพอพบหน้าท่านน้าฉือก็มักพูดจาไร้หัวคิดอยู่เรื่อย
นางมาวิพากษ์วิจารณ์หน้าตาของท่านน้าฉือต่อหน้าเขาเช่นนี้ได้อย่างไร
แต่อย่างไรก็ตาม ท่านน้าฉือรูปงามกว่าเทพเจ้าสามตาเสียอีก
ตรงหน้าผากของเทพเจ้าสามตามีดวงตาสวรรค์อยู่ด้วยดวงหนึ่ง ดูไม่ค่อยเป็นมงคลนัก แต่ท่านน้าฉือสง่างามสุภาพเรียบร้อย ปฏิบัติกับผู้อื่นอย่างอ่อนโยน เห็นแล้วทำให้คนบังเกิดความรู้สึกดี
โจวเสาจิ่นก้มหน้าลงอย่างขัดเขิน
ชั่วขณะนั้นทั้งสองคนราวกับถูกประโยคดังกล่าวทำให้แน่นิ่งไป ไม่มีใครพูดอะไร
ภายในห้องเงียบเชียบจนได้ยินเสียงลมพัดกิ่งไม้พลิ้วไหวดังเข้ามาจากด้านนอก
เสียงแผ่วเบาฟุ้งกระจายอยู่ในอากาศรวมกับความรู้สึกกระอักกระอ่วนและ…ละเอียดอ่อนบางอย่างที่อธิบายออกมาไม่ได้!
เหมือนกับตอนที่เขาสัมผัสกับร่างอันอ่อนนุ่มของโจวเสาจิ่นโดยไม่ตั้งใจเมื่อคราวก่อน
เฉิงฉือกดทับความรู้สึกเหล่านี้เอาไว้ภายในใจอย่างร้อนรนเล็กน้อย รีบกล่าวขึ้นว่า “เจ้ามาหาข้าทำไม”
โจวเสาจิ่นร้อง “อ้อ” ออกมาเสียงหนึ่ง รีบกล่าวขึ้นว่า “ข้า…ข้ามาถามท่านน้าฉือว่าเทศกาลวันไหว้บ๊ะจ่างนั้นข้าควรจะเชิญใครดีเจ้าคะ” นางเองก็รีบกดทับความคิดกวนใจเมื่อครู่เหล่านั้นเอาไว้ในใจอย่างร้อนรนด้วยเช่นกัน กล่าวขึ้นอย่างยากลำบากว่า “ข้าค้นพบว่าการเชิญแขกเป็นเรื่องที่ยุ่งยากไม่น้อยเลยเจ้าค่ะ”
“มีอะไรให้ยุ่งยากกัน” เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ “เอาใบรายชื่อมาให้ข้าดูสักหน่อย!”
นี่เพียงแค่ให้นางเชิญแขกเท่านั้น หากว่าให้นางรับผิดชอบหน้าที่แม่บ้านแม่เรือนของซอยจิ่วหรู จะไม่ทำวุ่นวายจนเละเทะไปหมดหรอกหรือ

VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน