เฉิงเจียเอาแต่หัวเราะร่าอย่างไม่ถือสา จับมือของนางเอาไว้พร้อมกับกล่าวขึ้นว่า “น้องสาวคนดี เจ้าอย่าโกรธอีกเลย เจ้าอยากให้ข้าชดใช้อย่างไรก็ได้!”
โจวเสาจิ่นกล่าวอย่างขุ่นเคืองว่า “เช่นนั้นก็ยกชุ่ยหวนสาวใช้ของเจ้ามาให้ข้า?”
“นั่นย่อมเป็นไปไม่ได้!” เฉิงเจียไม่โกรธเลยสักนิด ยังคงกล่าวอย่างยิ้มแย้มเช่นเดิมว่า “เช่นนั้นข้ายก ‘ชิวถง’ ตัวนั้นให้เจ้าดีหรือไม่”
ชิวถงคือพิณตัวที่เฉิงเจียชอบมากที่สุด
นางถึงกับจะยกพิณตัวนี้ให้ตน!
โจวเสาจิ่นประหลาดใจเป็นอย่างมาก มองสบตากับเฉิงเจียตรงๆ
เฉิงเจียค่อยๆ เก็บรอยยิ้มกลับไป สีหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมเอาจริงเอาจังขึ้นมา ปล่อยให้โจวเสาจิ่นจับจ้องมองตาตนเองอยู่อย่างนั้น กล่าวขึ้นอย่างตรงไปตรงมาว่า “เสาจิ่น ข้ารู้ว่าข้าทำไม่ถูก เจ้าอยากให้ชดใช้ให้เจ้าอย่างไรก็ได้ทุกอย่าง!”
นางกล่าวอย่างจริงใจ ทำให้โจวเสาจิ่นประหลาดใจยิ่งนัก
ชั่วชณะนั้นทั้งสองคนยืนประจันหน้ากัน บรรยากาศรอบๆ ตึงเครียด
จูจูรีบเดินเข้ามา จับไหล่ของโจวเสาจิ่นไว้ด้านหนึ่ง อีกด้านหนึ่งก็จับไหล่ของเฉิงเจียไว้ กล่าวยิ้มๆ ว่า “นี่! ได้ยินว่าดอกบัวที่จวนของพวกเจ้าบานแล้ว ช่วงนี้ข้าอยู่บ้านว่างๆ ไม่มีอะไรทำพอดี ใครสักคนในพวกเจ้าส่งเทียบมาให้พวกข้าไปชมดอกไม้ดีหรือไม่ เชิญทุกคนที่มาร่วมงานวันนี้ ว่าอย่างไร”
โจวเสาจิ่นรู้สึกละอายใจยิ่งนัก
วันนี้นางเป็นเจ้าภาพครึ่งหนึ่ง แทนที่จะคอยดูแลพวกเพื่อนๆ กลับมานั่งทะเลาะกับเฉิงเจียอยู่ตรงนี้ ปล่อยให้เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไร
โชคดีที่มีจูจูกับกูที่สิบเจ็ด พวกนางล้วนเป็นสหายที่จริงใจ เห็นนางกำลังเผชิญกับเรื่องยุ่งยากต่างก็เข้ามาช่วยเหลือนาง!
นางเหลือบไปมองจูจูอย่างขอบคุณครั้งหนึ่ง กล่าวยิ้มๆ ว่า “เช่นนั้นก็ให้พี่สาวเจียเป็นคนเชิญเป็นการลงโทษก็แล้วกัน! นางมีสุราเลิศรสจำนวนมาก อย่างไรพวกเราก็ต้องไปกินข้าวของนางสักมื้อถึงจะสาแก่ใจ”
จูจูกับกูที่สิบเจ็ดและคนอื่นๆ ต่างหัวเราะฮ่าๆ
เฉิงเจียลูบท้ายทอย “ไม่มีปัญหา เรื่องนี้ให้เป็นหน้าที่ของข้า พอข้ากลับไปจะส่งเทียบเชิญไปให้สุภาพสตรีทุกท่านทันที”
“เช่นนั้นพวกเราจะตั้งตารอเจ้าแล้ว!” กูที่สิบเจ็ดเย้าแหย่ ท่าทางเบิกบานยิ่งนัก
ส่วนคุณหนูทั้งสองท่านของตระกูลกัวเม้มปากกลั้นยิ้ม เห็นได้ชัดว่ามีความสนอกสนใจกับการได้ออกมาเป็นแขกมากเช่นเดียวกัน
โจวเสาจิ่นมองแล้วได้แต่ถอนหายใจไม่หยุด
คุณหนูของตระกูลกัวสงบเสงี่ยมเกินไปแล้ว
หากท่านน้าฉือแต่งงานกับหญิงสาวของตระกูลกัว คนพูดน้อยสองคนมาอยู่ด้วยกัน เช่นนั้นชีวิตในแต่ละวันจะน่าเบื่อเพียงใดนะ!
ตระกูลเซินเป็นผู้ชนะการแข่งขันเรือมังกรในท้ายที่สุด
เซินชิงอวิ๋นดีใจเป็นอย่างยิ่ง บอกว่าจะเลี้ยงสุราทุกคน
ทุกคนในที่นี้หมายถึงคนที่อยู่ในห้องส่วนตัวของหอชิงเยียน
ทุกคนทยอยกันไปกล่าวแสดงความยินดีกับเขา
จูเผิงจวี่จะลากเฉิงฉือไปร่ำสุราด้วย
เฉิงฉือปฏิเสธไปอย่างสุภาพ
จูเผิงจวี่ไม่ยอมแพ้ รู้ว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวอยู่ที่ห้องส่วนตัวข้างๆ เนื่องจากทั้งสองตระกูลมีความสัมพันธ์อันดีมาช้านาน จึงวิ่งมาคารวะฮูหยินผู้เฒ่ากัวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม หมายจะให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวอนุญาตให้เฉิงฉือออกไปร่ำสุรากับเขา “จื่อชวนจะต้องเป็นห่วงท่านเป็นแน่ ข้าจะให้หัวหน้าเจ้าพนักงานของจวนพวกข้าไปส่งท่านกลับด้วยตัวเอง จื่อชวนจะยังมีอะไรให้ต้องเป็นกังวลอีก!”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวหัวเราะร่า เรียกเฉิงฉือเข้ามา กล่าวขึ้นว่า “เจ้าสี่ เจ้าออกไปเที่ยวเล่นกับพวกเขาเถิด มีหลานรองอยู่เป็นเพื่อนข้าอยู่นี่นา!”
ยามอยู่ต่อหน้าคนนอก ฮูหยินผู้เฒ่ากัวมักจะเรียกโจวเสาจิ่นว่าหลานรอง
เฉิงฉือครุ่นคิดแล้วกล่าวยิ้มๆ ว่า “มิใช่ว่าข้าไม่อยากไปร่ำสุรากับเผิงจวี่ แต่ข้ายังมีธุระอยู่ทางด้านนี้ รอให้ข้าเสร็จธุระแล้ว ค่อยไปหาเจ้าก็ยังไม่สาย” ประโยคสุดท้ายนั้นเป็นการกล่าวกับจูเผิงจวี่
มีแววประหลาดใจสายหนึ่งวาบผ่านนัยน์ตาของจูเผิงจวี่ เขากล่าวยิ้มๆ ว่า “เจ้ามีแขกอยู่ใช่หรือไม่ เช่นนั้นก็เชิญแขกของเจ้าไปร่วมสนุกกับพวกเราด้วยก็ได้แล้ว! ชิงอวิ๋นคงไม่ต่อว่าเพียงเพราะสุราแค่นี้กระมัง”
“มิใช่อย่างนั้น” เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ “พวกข้าต้องเจรจาเรื่องการค้า กำลังอยู่ในช่วงสำคัญ เจ้าอย่าสร้างปัญหาให้ข้าเลย รอให้ข้าส่งแขกเรียบร้อยแล้วค่อยว่ากันอีกที”
จูเผิงจวี่ไม่อาจกล่าวอะไรได้อีก กล่าวย้ำกำชับเฉิงฉือซ้ำๆ หลายประโยคว่า “เจ้าต้องมาให้ได้” แล้วถึงได้จากไป
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวคิดไม่ถึงว่าเฉิงฉือมีแขกอยู่ด้วย กล่าวขึ้นด้วยสีหน้าละอายใจเล็กน้อยว่า “เช่นนั้นเจ้ารีบไปจัดการธุระของเจ้าเถิด! ข้ามีเสาจิ่นอยู่เป็นเพื่อนก็ได้แล้ว”
เฉิงฉือหันไปยิ้มให้โจวเสาจิ่น เอ่ยประโยคหนึ่งว่า “เจ้าดูแลท่านแม่ให้ดี” แล้วก็ลุกขึ้นเดินไปที่ห้องส่วนตัวข้างๆ
โจวเสาจิ่นนึกถึงตอนที่นางไปหาเฉิงฉือเมื่อครู่นี้ นึกถึงท่าทางปิดประตูของเฉิงฉือ แล้วก็รู้สึกสงสัยใคร่รู้ยิ่งนัก
ตอนเดินออกไปจึงอดไม่ได้ที่จะหันไปมองห้องส่วนตัวของเฉิงฉือครั้งหนึ่ง
บานประตูของห้องส่วนตัวยังคงปิดสนิทดังเดิม หลั่งเย่ว์ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตู
เมื่อเห็นโจวเสาจิ่นกับฮูหยินผู้เฒ่ากัวเดินมา เขารีบค้อมตัวทำความเคารพแล้วกระซิบกล่าวกับโจวเสาจิ่นว่า “นายท่านสี่ไปส่งแขก อีกประเดี๋ยวก็กลับมาแล้วขอรับ!”
โจวเสาจิ่นประหลาดใจ
เป็นแขกคนใดกันที่ท่านน้าฉือต้องแสร้งทำเสมือนกับกำลังรับรองแขกอยู่ในห้องส่วนตัวเช่นนี้
ในเมื่อคนผู้นี้สำคัญถึงเพียงนี้ แล้วเหตุใดท่านน้าฉือต้องพาเขามาที่หอชิงเยียนด้วย?
โจวเสาจิ่นยังคงงุนงงคิดไม่ตก ตอนที่เดินออกมาจากประตูข้างของหอชิงเยียนจึงมองซ้ายมองขวาอย่างห้ามไม่อยู่
ทันใดนั้น นางเบิกดวงตาโพลง ยื่นคอมองออกไปยังถนนที่ผู้คนเดินขวักไขว่ไปมาด้านนอกซอย ดูราวกับว่ามองเห็นคนหรือเรื่องแปลกประหลาดอะไรบางอย่างเข้า ดึงดูดให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวหันมามองที่นาง พร้อมกับกล่าวขึ้นว่า “เสาจิ่น เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเปล่า”
โจวเสาจิ่นครุ่นคิดครู่หนึ่ง ไม่อาจควบคุมอาการสั่นในใจได้ กล่าวขึ้นว่า “ข้ารู้สึกเหมือนกับว่าจะเห็นคนรู้จักผู้หนึ่ง ท่านรอข้าสักครู่ ข้าขอไปดูสักหน่อยนะเจ้าคะ!”
ขณะที่กล่าวนั้น ก็ไม่มีกะจิตกะใจไปสนใจว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวจะมองนางอย่างไรบ้าง นางยกเท้าขึ้นแล้ววิ่งไปที่ปากซอย
ด้านนอกนั้นผู้คนเดินกันขวักไขว่พลุกพล่านเต็มไปหมด
โจวเสาจิ่นมองหาอยู่ครู่ใหญ่ ถึงได้มองเห็นใบหน้าคุ้นหน้าของคนที่สวมชุดจื๋อตัวสีดำผู้นั้นยืนอยู่หน้าร้านขายธูปเทียนร้านหนึ่ง
เป็นเขาจริงๆ ด้วย!
สือควนผู้ที่จะกลายมาเป็นขันทีใหญ่สนองพระโอษฐ์แห่งสำนักขันทีขององค์ชายสี่หลังจากที่ทรงขึ้นครองราชย์แล้ว

VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน