เฉิงฉือยังคงหลับตาอยู่เช่นเดิม ทว่าเสมือนกับมองเห็นทุกอย่างก็ไม่ปาน เอ่ยขึ้นว่า “เมื่อยมือแล้ว ก็ให้สาวใช้เด็กมาพัดเถิด!”
โจวเสาจิ่นอดไม่ได้ที่จะเม้มปากกลั้นยิ้ม กล่าวเสียงนุ่มว่า “ไม่เมื่อยเจ้าค่ะ! ท่านพักผ่อนให้สบายใจเถิดเจ้าค่ะ!”
ภายใต้แสงไฟอันเลือนราง องคาพยพทั้งห้าของเขาดูอ่อนโยนกว่าในยามปรกติ สีหน้าก็ดูอบอุ่นกว่าในยามปรกติ
โจวเสาจิ่นทำใจกล้ามองสำรวจเขา
ขนตาของเฉิงฉือทั้งดกทั้งหนา ทำให้ดวงหน้าของเขาดูราวกับวาดเส้นขอบตาเอาไว้ ตรงหางตาโค้งขึ้นเล็กน้อย งดงามยิ่งนัก
จมูกโด่งเป็นสันตรง เป็นจมูกทรงหยดน้ำอย่างที่กล่าวเอาไว้ในหนังสือโหงวเฮ้ง
สันจมูกตั้งตรงสละสลวย ปลายจมูกอิ่มเต็ม
ว่ากันว่า บุรุษที่มีจมูกทรงนี้จะมีชื่อเสียงรุ่งโรจน์ เงินทองล้นเหลือมิต้องเป็นกังวลใจ และได้ภรรยาที่งามพร้อม
ท่านน้าฉือมีเงินทองล้นเหลือมิต้องเป็นกังวลใจนั้นจริง ทว่าการงานในเส้นทางราชสำนักนั้นกลับ…มีชื่อเสียงรุ่งโรจน์ อย่างมากก็คงได้เป็นคนชั้นสูงมีหน้ามีตาผู้หนึ่ง
ส่วนภรรยาที่งามพร้อมนั้น
นึกถึงคุณหนูทั้งสองท่านของตระกูลกัวแล้ว…โจวเสาจิ่นข้ามมันไปเสีย
อย่างไรฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็ได้กล่าวเอาไว้แล้วว่าท่านน้าฉือรับปากว่าจะแต่งงานมีบุตรภายในสองปีนี้ นี่มิใช่ว่ายังมีเวลาอีกสองปีหรอกหรือ ไม่แน่ว่าเมื่อถึงเวลานั้นอาจจะมีหญิงสาวที่ดีพร้อมกว่าคุณหนูทั้งสองท่านของตระกูลกัวปรากฏตัวออกมาก็เป็นได้
ริมฝีปากของท่านน้าฉือสีแดงเรื่อ ไม่ใหญ่และไม่หนาจนเกินไป มุมปากหยักโค้งขึ้น ประหนึ่งกำลังแย้มยิ้มอยู่อย่างไรอย่างนั้น
โจวเสาจิ่นหน้าร้อนผะผ่าว รีบลดศีรษะลง
แต่ใครจะรู้ว่าสายตากลับตกกระทบไปอยู่บนมือของเขาที่ห้อยลงมาอยู่บนใบหน้า
มือของเฉิงฉือขาวเนียนและเรียวยาว ทว่าก็ไม่มีข้อกระดูกปูดโปนออกมาให้เห็น เล็บมือตัดแต่งอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย สีชมพูระเรื่อ สะอาดสะอ้าน ดูเสมือนกับแกะสลักมาจากหยกก็ไม่ปาน
แต่นางกลับจำได้ดีว่ามือคู่นี้อบอุ่นเพียงไร
ยามลูบอยู่บนศีรษะของนาง มีความอบอุ่น ความสงบ และความเอ็นดูบางอย่างที่ยากจะอธิบายให้ชัดเจนได้แฝงอยู่ ระหว่างที่ตกอยู่ในภวังค์อันน่าลุ่มหลงนั้น ทำให้นางรู้สึกว่าตัวเองมีค่าขึ้นมา
โจวเสาจิ่นลอบหัวเราะเบาๆ ค่อยๆ โบกพัดไปอย่างช้าๆ
ลมเย็นผัดเอื่อยๆ มีกลิ่นหอมอ่อนๆ โฉบผ่านจมูกของเขา ยังมีสายตาร้อนแรงสายหนึ่งตกกระทบอยู่บนร่างของเขาเป็นระยะๆ
เฉิงฉือรู้สึกไม่ค่อยถูกต้องเหมาะสมอยู่เล็กน้อย
ตอนที่เสาจิ่นมาประคองเขานั้นเขาไม่ควรจะละโมบอยากได้รับความรู้สึกอ่อนโยนและกลิ่นหอมอ่อนๆ นั้นอย่างไม่รู้จักพอ จากนั้นก็ยังปล่อยให้ผิดพลาดเพิ่มอีกโดยการปล่อยให้นางปรนนิบัติอยู่ข้างกาย
แต่จะให้นางไปตอนนี้…เขาก็รู้สึกไม่ค่อยดีนัก!
เพราะเด็กผู้นี้จะต้องเข้าใจว่าตัวเองทำอะไรผิด บางทีอาจจะเศร้าโศกเสียใจมากอีกด้วยก็เป็นได้!
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ เด็กน้อยช่างปรนนิบัติผู้อื่นได้ดีนัก โบกพัดได้อย่างไม่เร็วและไม่ช้า ทั้งอบอุ่นและอ่อนโยน ก็เหมือนกับตัวนาง ทำให้เขารู้สึกสบายเป็นอย่างมาก
ก็ช่างมันเถิดก็แล้วกัน!
นางนั่งโบกพัดให้เขาอยู่ข้างเตียง ไม่ให้มองตนแล้วจะให้นางมองอะไร
อาจจะเป็นตัวเขาเองที่คิดมากเกินไป
ลอบลองเชิงมาพักใหญ่ ดูว่าผู้ใดจะคิดในแง่ร้ายมากที่สุดก่อน
เฉิงฉือหัวเราะขันตัวเอง ไม่นานอารมณ์ก็สงบลงมา กล่าวขึ้นอย่างเกียจคร้านว่า “ฤดูร้อนของจินหลิงช่างร้อนจริงๆ”
เสียดายที่เฉิงเจียซ่านอยู่ที่เจ่าหยวน ไม่อย่างนั้นเขาก็คงจะได้พามารดาและเด็กน้อยไปหลบร้อนที่เจ่าหยวนแล้ว อย่างไรก็ตามเด็กน้อยอยู่ตรงนี้ด้วย เขาเอ่ยถึงเฉิงเจียซ่านให้น้อยเอาไว้จะดีกว่า เด็กน้อยจะได้ไม่ต้องรู้สึกอึดอัดใจ
เขากลืนคำพูดดังกล่าวลงไป
โจวเสาจิ่นเองก็ไม่คุ้นเคยกับฤดูร้อนของจินหลิง ได้ยินแล้วก็กล่าวยิ้มๆ ว่า “ท่านรู้สึกร้อนอยู่ภายในใจใช่หรือไม่ ข้าให้คนยกน้ำถั่วเขียวเย็นๆ มาให้ท่านดีหรือไม่เจ้าคะ”
เมื่อก่อนยามพี่เขยดื่มสุรามามาก พี่สาวจะเตรียมชาเย็นเอาไว้ให้พี่เขย
เฉิงฉือร้อง “อืม” เสียงหนึ่ง
โจวเสาจิ่นสั่งการออกไป
ไม่นาน น้ำถั่วเขียวก็มาถึง
โจวเสาจิ่นปรนนิบัติเฉิงฉือดื่มจนเรียบร้อย
เฉิงฉือล้มตัวลงบนตั่งหลัวฮั่นอีกครั้ง
โจวเสาจิ่นโบกพัดให้เขาต่อไป
ทว่าเฉิงฉือกลับนอนไม่ค่อยหลับแล้ว กล่าวขึ้นว่า “ช่วงฤดูหนาวปีนี้พวกเราเก็บน้ำแข็งเอาไว้สักหน่อยก็แล้วกัน ฤดูร้อนในปีหน้าจะได้ไม่ร้อนมากถึงเพียงนี้”
โจวเสาจิ่นหัวเราะ กล่าวขึ้นว่า “ฤดูหนาวปีที่แล้วจินหลิงมีหิมะตกเพียงเล็กน้อยครั้งหนึ่งเท่านั้น เมื่อตกถึงพื้นก็ละลายหมดแล้ว จะเก็บน้ำแข็งได้อย่างไรเจ้าคะ”
เฉิงฉือพลิกตัวมองนาง กล่าวยิ้มๆ ว่า “ขอเพียงฤดูหนาวปีนี้มีหิมะตกที่จินหลิงก็เป็นอันใช้ได้ ข้าจะให้คนเก็บน้ำแข็งมาจากจิงเฉิง แล้วเร่งนำกลับมาให้ถึงจินหลิงช่วงเดือนที่หนึ่งก่อนเข้าฤดูใบไม้ผลิ จะได้นำออกมาใช้ในฤดูร้อน”
ภายใต้แสงตะเกียง แววตาของเขาสุกใส ดังดวงดาราบนฟากฟ้า เปล่งประกายแวววาว
นางรู้ว่าท่านน้าฉือหน้าตาหล่อเหลา แต่ไม่คาดคิดว่าเขาจะหล่อเหลาถึงเพียงนี้
ชั่วขณะนั้นโจวเสาจิ่นมองจนจิตใจเลื่อนลอยไปเล็กน้อย
เฉิงฉือเห็นนางเบิกดวงตาโพลงจ้องมองตัวเองอย่างเลื่อนลอย ยังเข้าใจไปว่านางไม่เชื่อ จึงกล่าวยิ้มๆ ว่า “เจ้าคิดว่าเป็นไปไม่ได้อย่างนั้นหรือ”
“ย่อมไม่ใช่เจ้าค่ะ!” โจวเสาจิ่นโพล่งออกมา ได้สติคืนกลับมา
ท่านน้าฉือไม่เคยผิดคำพูดเลยสักครั้ง
“ข้าเพียงแต่คิดว่าเช่นนั้นจะต้องใช้แรงคนและทรัพยากรไปมากมายเพียงใดเท่านั้นเจ้าค่ะ!”
โจวเสาจิ่นขมวดคิ้วมุ่นขณะที่กล่าว พยายามเอาใจเฉิงฉือด้วยท่าทางเป็นกังวลยิ่ง
เฉิงฉืออารมณ์ดียิ่ง กล่าวขึ้นว่า “ไม่เป็นไร! ถึงเวลานั้นจะทำการขนส่งโดยเรือ เร่งเดินทางทั้งกลางวันและกลางคืน อย่างมาใช้เวลาสิบวันก็ถึงเมืองจินหลิงแล้ว”
โจวเสาจิ่นกล่าว “ตอนนี้ท่านกับกลุ่มเดินสมุทรดีกันแล้วหรือเจ้าคะ เช่นนั้นจี๋อิ๋งก็ออกไปไหนมาไหนได้แล้วใช่หรือไม่”
นางไม่รู้เรื่องของเจี่ยงชิ่น
เฉิงฉือก็ไม่อยากให้นางรู้เช่นกัน จึงเพียงหัวเราะพร้อมกับลุกขึ้นมานั่ง กล่าวสบายๆ กับนางว่า “กลุ่มเดินสมุทรมีเจ้าของร่วมหลักๆ อยู่สามตระกูล เจ้าของทั้งสามตระกูลนี้ต่างก็มีปัญหาข้อขัดแย้งของตัวเอง จึงต้องหาผลประโยชน์อย่างระมัดระวัง พวกเขาไม่กล้าเคลื่อนไหวมากนัก”
ความเป็นจริงแล้วคนของเขาลงโทษเจียวจื่อหยาง สังหารเจี่ยงชิ่น ตัดขาดค่าขนส่งสินค้าทางทหาร และลอบให้การสนับสนุนกลุ่มจินซาอย่างลับๆ กลุ่มเดินสมุทรจำต้องเชิญผู้มีอิทธิพลของเจียงหูหลายท่านออกหน้ามาเชิญเฉิงฉือไป ‘ดื่มชา’ ด้วย
เฉิงฉือยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะไปหรือไม่ไป


VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน