จิตใจของโจวเสาจิ่นเป็นทุกข์ยิ่งนัก นางจึงคิดถึงพี่สาวมากเป็นพิเศษ ตอนนี้ได้ยินว่าฝากจดหมายไปให้พี่สาวได้ นางไหนเลยจะนั่งติดที่ได้อีก!
นางยิ้มร่าพลางกล่าวลาฮูหยินผู้เฒ่ากัวกับเฉิงฉือ จากนั้นก็วิ่งเหยาะๆ กลับเรือนฝูชุ่ยไป
ด้านหนึ่งนางบอกให้ชุนหว่านไปจัดเก็บผ้าคุณภาพดีหลายพับสำหรับใช้ตัดเย็บเสื้อผ้าอาภรณ์ให้กับพี่สาวและเลี่ยวเส้าถัง อีกด้านหนึ่งก็บอกให้ปี้เถาไปเปิดโต๊ะเครื่องแป้งของตนและนำเครื่องประดับศีรษะทองคำลายแปะก๊วยที่เพิ่งหล่อขึ้นใหม่เมื่อไม่กี่วันก่อนชุดนั้นให้ไปด้วย ทั้งยังให้เสี่ยวถานนำความไปแจ้งภรรยาของหม่าฟู่ซาน ให้นางซื้อขนมและของหวานต่างๆ ที่โจวชูจิ่นชอบกินเป็นประจำเข้ามา ส่วนตนเองก็เริ่มฝนหมึก เตรียมจะเขียนจดหมายให้พี่สาว…งานยุ่งวุ่นวายจนหัวหมุนเลยทีเดียว
กลับเป็นฝานหลิวซื่อที่เกลี้ยกล่อมโจวเสาจิ่นว่า “คุณหนูรอง ท่านไม่ต้องรีบนักก็ได้ พรุ่งนี้นายท่านสี่ถึงจะออกเดินทางเจ้าค่ะ!”
“ข้ามีข้าวของมากมายที่อยากจะฝากไปให้ท่านพี่นี่นา!” โจวเสาจิ่นยิ้มน้อยๆ พลางถลกแขนเสื้อขึ้น ทว่าพอนั่งลงไปแล้วกลับไม่รู้ว่าจะเขียนอะไรให้ดี
เรื่องของท่านน้าฉือก็เล่าให้ฟังไม่ได้!
เรื่องของเฉิงเจียกับหลี่จิ้งก็บอกไม่ได้ด้วยเช่นกัน!
นางยังจะเล่าเรื่องอะไรให้พี่สาวฟังได้อีกเล่า
นางกับพี่สาวกลายเป็นห่างเหินกันตั้งแต่เมื่อไรนะ
โจวเสาจิ่นอารมณ์ห่อเหี่ยวลง เล่าแต่เรื่องสัพเพเหระที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ของตนเอง แล้วจึงวางพู่กันลง ไปเลือกเสื้อผ้ากับเครื่องประดับให้พี่สาวพร้อมกับชุนหว่าน
ทว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวกลับดื่มน้ำชาอย่างสบายอารมณ์ พลางเอ่ยถามเฉิงฉือยิ้มๆ ว่า “เจ้าไปไหวอันครั้งนี้ ตั้งใจจะเดินทางไปทางน้ำหรือ เสาจิ่นเป็นเพียงเด็กคนหนึ่ง ความคิดยังใสซื่ออยู่”
แต่ก่อนเพื่อเป็นการประหยัดเวลาเฉิงฉือมักจะขี่ม้าไปทุกครั้ง เร่งรุดไปทั้งวันทั้งคืน แม้จะลำบาก แต่เพียงไม่กี่วันก็ถึงแล้ว
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวพูดเช่นนี้ เป็นการบอกเป็นนัยเฉิงฉือว่าโจวเสาจิ่นไม่เข้าใจความคิดความอ่านของเขาเลยสักนิด
เฉิงฉือคิดว่าเรื่องบางเรื่องควรจะบอกมารดาให้ชัดเจนไปเลยจะดีกว่า สุดท้ายแล้วโจวเสาจิ่นยังต้องใช้ชีวิตอยู่ในสายตาของมารดา หากทำให้มารดาไม่พอใจขึ้นมา มีแต่จะทำให้สถานการณ์เปลี่ยนเป็นยุ่งยากซับซ้อนขึ้น เขาให้เสาจิ่นอยู่ข้างกายมารดาเพื่อที่จะปกป้องนาง มิใช่เพื่อให้เสาจิ่นมามีศัตรูเพิ่มขึ้น
สีหน้าของเขาผ่อนคลาย ยกจอกชาขึ้นมาจิบน้ำชาอย่างช้าๆ แล้วถึงได้กล่าวยิ้มๆ ขึ้นว่า “นางเป็นเด็กสาวที่ยังไม่ถึงวัยปักปิ่นคนหนึ่ง จะเข้าใจอะไรได้หรือขอรับ เพียงเห็นว่านางมาอาศัยอยู่ในบ้านญาติตั้งแต่เล็กๆ ช่วยอะไรนางได้ก็ช่วยไปจะดีกว่า สำหรับเรื่องการสำนึกบุญคุณเหล่านั้น ข้าก็มิใช่ผู้ที่คอยสำรวจสีหน้าของผู้อื่นประเภทนั้นเหมือนกัน จะดีหรือไม่ดี ข้าก็รู้อยู่แก่ใจขอรับ!”
กล่าวอีกนัยก็คือ เป็นบุตรชายของตนที่สนใจอยู่เพียงฝ่ายเดียว!
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวได้ยินแล้วก็รู้สึกหดหู่ใจ
บุตรชายของตนเองหน้าตาหล่อเหลาคมคาย ทั้งมียศเป็นถึงจิ้นซื่อ และมีฐานะร่ำรวย ยามที่ออกไปข้างนอกมีหญิงสาวจากตระกูลใดบ้างที่ไม่มองเขาอย่างชื่นชม เหตุใดถึงต้องไปเอาอกเอาใจเด็กน้อยคนนั้นด้วยเล่า
แล้วเด็กน้อยผู้นั้นก็ยังโง่เขลาไม่รู้อะไรเลยอีกด้วย
บุตรชายของนาง เคยได้รับความอยุติธรรมเช่นนี้เมื่อไรกัน!
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวอดกล่าวเสียงสูงไม่ได้ว่า “ข้าไม่รู้เลยว่าตั้งแต่เมื่อไรกันที่เจ้าทำความดีโดยไม่ทิ้งชื่อไว้!”
เฉิงฉือเองก็รู้ว่ามารดาจะมีปฏิกิริยาตอบกลับเช่นนี้ เขายกยิ้มขึ้นมาอย่างซุกซน พลางตอบว่า “เช่นนั้นท่านแม่ปรารถนาให้ข้าทิ้งชื่อไว้อย่างนั้นหรือขอรับ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวพูดอะไรไม่ออก
รู้ดีว่าหากพูดต่อไปอีกก็จะเป็นการพูดเจาะถึงประเด็นเอาได้
จึงด่าไปประโยคหนึ่งว่า “ไอ้คนไม่รักดี” แล้วเปลี่ยนหัวข้อสนทนาเสีย “เมื่อวานข้าให้คนเอาแตงโมไปส่งให้เจียซ่าน ได้ยินคนที่ไปกลับมารายงานว่า เจียซ่านพันผ้าเช็ดหน้าไว้รอบคอ และจุ่มเท้าในน้ำ อ่านตำราอย่างคร่ำเคร่งยิ่ง เจ้าเป็นอาคนหนึ่งของเขาก็ควรไปดูเขาสักหน่อยถึงจะถูก”
เฉิงฉือยิ้มพลางกล่าวว่า “หลายวันก่อนข้ายังมอบหมายให้เขาเขียนความเรียงหลายหัวข้ออยู่เลยขอรับ ท่านคงไม่อาจให้ข้าไปสอบแทนเขาหรอกกระมัง! อีกอย่าง ท่านก็เห็นๆ อยู่ว่า ในบ้านมีจิ้นซื่อทั้งหมดถึงห้าคน มีคนไหนบ้างที่ไม่ได้ผ่านการตรากตรำอ่านตำรามาอย่างยากลำบากเช่นนี้ เหตุใดพอถึงคราวของเขาแล้วจึงรู้สึกว่าลำบากมากเป็นพิเศษเล่า มิน่าผู้อื่นถึงได้กล่าวกันว่าเด็กคนนี้ไม่อาจเติบโตมากับปู่ย่าได้ เพราะคงจะถูกตามใจอย่างไม่มีที่สิ้นสุดเป็นแน่”
“พูดจาเหลวไหล” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวอย่างไม่คล้อยตามว่า “ไม่ว่าจะเป็นเจิงเจี่ยเอ๋อร์ เซียวเจี่ยเอ๋อร์หรือเซิงเจี่ยเอ๋อร์ มีคนไหนบ้างที่ไม่ได้โตมากับข้า แต่ละคนล้วนเป็นกุลสตรีที่เพียบพร้อมและฉลาดหลักแหลม พวกบุรุษศึกษาเล่าเรียนได้ไม่ดีเอง ไฉนถึงได้กล่าวโทษสตรีในห้องหอเล่า!”
สองแม่ลูกโต้เถียงกันอยู่นาน พอฮูหยินผู้เฒ่ากัวได้ระบายความอัดอั้นตันใจออกมาแล้ว เฉิงฉือก็ลุกขึ้นขอตัวกลับไป
แต่พอเฉิงฉือออกไปแล้ว ในใจของฮูหยินผู้เฒ่ากัวกลับรู้สึกอ้างว้างขึ้นมาอีกครั้ง
ปี้อวี้เก็บจอกชาไปด้วย พลางกล่าวยิ้มๆ ไปด้วยว่า “ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกับนายท่านสี่นี่ช่างดีจริงๆ นะเจ้าคะ! ไม่เหมือนแม่ลูกคู่อื่นๆ ที่เวลาอยู่ด้วยกัน นอกจากคารวะกันแล้ว ก็ไม่มีเรื่องอื่นให้คุยกันอีก”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวตะลึงงัน จากนั้นก็ยิ้มร่าขึ้นมา
เจ้าเด็กร้ายกาจผู้นี้ หากตั้งใจจะหลอกล่อให้ผู้อื่นดีใจขึ้นมา ก็จะหลอกล่อผู้นั้นจนหัวหมุนได้
เขาเห็นว่าตนอารมณ์ไม่ดี ดังนั้นจึงหยอกเย้าตนเป็นพิเศษ!
หาไม่แล้วเขาจะหยิบยกเรื่องของตนเองกับโจวเสาจิ่นขึ้นมาพูดได้อย่างไรเล่า
หากว่าเรื่องราวถูกเปิดโปงขึ้นมา เกรงว่าเขาก็คงไม่รู้จะทำอย่างไรไปชั่วขณะเหมือนกันกระมัง
สุดท้ายเขาก็เป็นน้าชายผู้หนึ่ง ส่วนเสาจิ่นก็ยังเด็กอยู่ หากเรื่องราวถูกเปิดเผยขึ้นมา คนอื่นคงได้แต่กล่าวหาว่าเป็นความผิดของเขา…
เมื่อคิดเช่นนี้แล้ว ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจึงคิดว่าบุตรชายเองก็อยู่ในสภาวะลำบากมากเช่นเดียวกัน
นางก็อย่าไปสร้างปัญหาให้บุตรชายเพิ่มอีกเลย
ให้เขาไปจัดการเองดีกว่า
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวทอดถอนใจ
ซางมามาเห็นโจวเสาจิ่นตระเตรียมข้าวของให้โจวชูจิ่นหลายหีบ ก็อดปาดเหงื่อบนหน้าผากไม่ได้ กระซิบเตือนโจวเสาจิ่นไปว่า “คุณหนูรอง ครั้งนี้นายท่านสี่เดินทางไปไหวอันทางบกเจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นไม่เข้าใจไปชั่วขณะ


VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน