เด็กน้อยช่างมีความรู้สึกไวจริงๆ!
คราวก่อนตอนที่เขาไปจิงเฉิงนั้นเพื่อเรื่องแต่งงานของเด็กน้อยแล้วจึงไปขอร้องหยวนเปี๋ยอวิ๋น หยวนเปี๋ยอวิ๋นหัวเราะเยาะเขาว่าวันๆ เอาแต่ยุ่งกับเรื่องจุกจิกน่าเบื่อเหล่านี้ ว่าเขาว่า ประการแรกมิได้กระทำความผิดละเมิดกฎหมาย ประการที่สองมิได้ใช้อำนาจข่มเหงรังแกผู้น้อย ประการที่สามมิได้เที่ยวหอนางโลมแต่อย่างใด ช่างเป็นขุนนางที่ไม่เหมือนขุนนาง และเป็นลูกขุนนางที่ไม่เหมือนลูกขุนนางเอาเสียเลย จะสอบเอายศจิ้นซื่อยศหนึ่งไปทำไมเล่า
เฉิงฉือคิดว่าตนไม่ได้เก็บคำพูดเหล่านั้นมาใส่ใจ แต่ปรากฏว่าเขากลับจดจำได้ทุกคำมาตลอด ซ้ำยังพูดออกมาด้วยท่าทีเย้ยหยันอีกด้วย!
เขาส่ายศีรษะเบาๆ พลางกล่าวยิ้มๆ อย่างไม่เห็นด้วยว่า “ต่อให้มีคนมาว่าข้า นั่นก็เป็นการว่าข้าลับหลัง ข้าจะรู้ได้อย่างไร”
จริงด้วย!
โจวเสาจิ่นหน้าแดงเรื่อ พลางกล่าวว่า “เรื่องที่ข้าได้ยินเกี่ยวกับท่านน้าฉือล้วนเป็นการยกย่องชื่นชมทั้งสิ้น ท่านน้าฉือวางใจได้เลยเจ้าค่ะ”
ไม่คาดคิดว่าเด็กน้อยจะปลอบโยนเขาเป็นด้วย!
เฉิงฉือหัวเราะฮ่าๆ น้ำเสียงอ่อนโยนขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว กล่าวขึ้นว่า “เรื่องนี้ข้าจะบอกเจ้าเมืองอู๋ก็แล้วกัน ต่อให้เขาดิ้นรนอย่างไร ก็เปลี่ยนผลลัพธ์ไม่ได้หรอก”
โจวเสาจิ่นเอ่ยถามว่า “ถ้าหากเขาป่าวประกาศไปทั่วทุกหนทุกแห่ง…”
เฉิงฉือตัดบทคำพูดของนาง แล้วกล่าวยิ้มๆ ว่า “บิดาของเขาจากไปนานแล้ว ส่วนเขาก็เติบโตขึ้นมาโดยการพึ่งพาอาศัยซอยจิ่วหรู สำนักศึกษาของตระกูลเฉิงไม่ได้เก็บค่าเล่าเรียนจากเขา ทั้งยังให้การสนับสนุนช่วยเหลือให้เขาได้ศึกษาเล่าเรียนมาตลอดจนได้เป็นซิ่วไฉ หากว่าเขาเป็นสุนัขที่ร้อนรนแล้วกระโจนข้ามกำแพงออกไปเห่าหอนข้างนอก เป็นเขาที่มีเหตุผลหรือเป็นตระกูลเฉิงของพวกเราที่มีเหตุผลกันเล่า ถึงเวลานั้นข้าเพียงปิดปากเงียบ ผู้คนก็จะคาดเดากันไปต่างๆ นานาเอง คนหนึ่งถูกริบยศซิ่วไฉไป ส่วนอีกคนมียศเป็นจิ้นซื่อ เจ้าว่าทุกคนจะเชื่อใครมากกว่ากัน นี่ก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำไมเจ้าเมืองอู๋กับหลินเจี้ยวอวี้ถึงกล้าตกคำรับปากข้า…
…ในเมื่อเขาได้รับความช่วยเหลือจากตระกูลเฉิงแล้ว ก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนคืนมาด้วย!”
เพียงแต่เฉิงลู่คงจะคิดไม่ถึงว่าเขาจะต้องจ่ายค่าตอบแทนมากมายถึงเพียงนี้ก็เท่านั้น!
ในใจของโจวเสาจิ่นรู้สึกราวกับเมฆดำทะมึนได้มลายหายไป และพลันสดใสขึ้นมาในทันใดก็ไม่ปาน
นางยิ้มร่าพลางพยักหน้าน้อยๆ กล่าวขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ว่า “ท่านน้าฉือ ท่านช่างยอดเยี่ยมจริงๆ เจ้าค่ะ! ก่อนหน้านี้ข้ายังกังวลอยู่ว่าเฉิงลู่จะใช้อุบายต่ำช้ามาคิดบัญชีกับท่าน”
ดวงหน้าพริ้มเพราดั่งดอกไม้แย้มบานยามวสันต์ ช่างสดใสและงดงามยิ่ง
เฉิงฉือเห็นแล้วก็คลี่ยิ้มกว้างขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
หรือว่าก็เป็นเพราะสาเหตุนี้เด็กน้อยถึงได้ลังเล ไม่มาหาเขาเสียที?
เขากล่าวเสียงอบอุ่นว่า “ต่อไปอย่าได้คิดเป็นกังวลอยู่คนเดียว มีเรื่องอะไรก็มาหาน้าฉือ เข้าใจหรือไม่”
โจวเสาจิ่นขานรับอย่างว่าง่าย แล้วถามถึงเรื่องการเดินทางครั้งนี้ของเฉิงฉือ
เฉิงฉือเดินทางไปไหวอันอยู่บ่อยๆ แต่ครั้งนี้ทั้งรีบเร่งกว่าทุกที แล้วก็ไม่มีเรื่องอะไรจะเล่าเป็นพิเศษด้วย เขาจึงหยิบยกเรื่องธรรมเนียมปฏิบัติของไหวอันมาเล่าให้โจวเสาจิ่นฟัง
โจวเสาจิ่นตั้งอกตั้งใจฟังยิ่ง ดวงตากระจ่างใสคู่นั้นจ้องมองเขาไม่กะพริบ ประหนึ่งสัตว์ตัวน้อยที่อยากรู้อยากเห็นก็ไม่ปาน
จู่ๆ เฉิงฉือก็รู้สึกไม่ค่อยดีขึ้นมาในทันใด
คล้ายกับในช่วงปีใหม่ยามที่ผู้ใหญ่เห็นเด็กๆ แต่ไม่มีเงินแต๊ะเอียมอบให้อย่างไรอย่างนั้น
เขากวาดสายตาที่ไปชั้นวางของล้ำค่าที่เขาเก็บของขวัญต่างๆ เอาไว้ แล้วก็ตวัดมองไปที่ลูกคิดที่เขาเพิ่งใช้คำนวณไปเมื่อครู่
จู่ๆ เฉิงฉือก็ฉุกคิดขึ้นมาได้
ไฉนถึงลืมของชิ้นนั้นไปได้เล่า
ขณะที่เขาสนทนากับโจวเสาจิ่น ก็หยิบลูกคิดทองคำขนาดเล็กรางหนึ่งออกมาจากลิ้นชักมอบให้นาง กล่าวยิ้มๆ ว่า “ตอนที่กลับมาเร่งรีบเกินไป จึงไม่ทันได้ซื้อของอะไรมาฝากเจ้า ลูกคิดทองคำรางนี้เดิมทีเป็นของที่ข้าตั้งใจจะมอบให้ผู้อื่น ต่อมามีของขวัญที่ดีกว่า จึงเก็บไว้ในลิ้นชักโต๊ะเขียนหนังสือ เจ้าเอาไปเล่นก็แล้วกัน!”
ลูกคิดทองคำรางนั้นมีขนาดเท่าฝ่ามือ ประดิษฐ์ขึ้นมาอย่างประณีตยิ่ง ไข่มุกแต่ละเม็ดล้วนดีดได้หมดทุกเม็ด นอกจากนั้นยังเป็นของที่แข็งแรงมีน้ำหนัก เสมือนลูกคิดของจริงไม่มีผิด ที่มุมหนึ่งของลูกคิดยังผูกพู่สีแดงสดยาวกว่าหนึ่งฉื่อเอาไว้อีกด้วย งดงามยิ่งนัก
โจวเสาจิ่นเห็นแล้วก็ชื่นชอบเป็นอย่างมาก
อีกทั้งพอเห็นว่าเฉิงฉือหยิบออกมาจากลิ้นชักโดยไม่ได้ใส่ใจนัก รู้ว่ามิใช่ของขวัญล้ำค่าอะไรเป็นพิเศษสำหรับเฉิงฉือ จึงอดกล่าวยิ้มๆ ขึ้นมาไม่ได้ว่า “ที่แท้ในห้องของท่านน้าฉือยังซุกซ่อนของชั้นดีเช่นนี้เอาไว้อยู่ เสียดายที่ไม่เอาออกมาให้เร็วกว่านี้ หากรู้เช่นนี้แต่แรก ข้าก็ไม่ต้องสั่งทำเครื่องประดับศีรษะชุดนั้นเป็นของขวัญแต่งงานให้พี่สาวเจียแล้ว เพียงมอบลูกคิดนี้ให้ก็ได้แล้วเจ้าค่ะ”
เฉิงฉือเห็นนางรับของไปอย่างยินดี อารมณ์ก็ดียิ่ง ยิ้มพลางถามขึ้นว่า “เสียเงินไปเท่าไรหรือ”
โจวเสาจิ่นหยอกเล่นกับเขา บุ้ยปากกล่าวว่า “เสียไปทั้งหมดห้าสิบเหลี่ยงเจ้าค่ะ”
เฉิงฉือยกยิ้มบางเบา พลางถามว่า “เงินขาดมือหรือ”
“มีใครที่เงินไม่ขาดมือบ้างเจ้าคะ!” โจวเสาจิ่นบ่นกับเฉิงฉืออย่างทีเล่นทีจริง “คนเราเมื่อมีเครื่องประดับศีรษะที่ทำจากเงินก็อยากจะได้อันที่ทำจากทอง พอมีเครื่องประดับศีรษะที่ทำจากทองก็อยากจะได้อันที่ฝังอัญมณีล้ำค่า… บ่าวหญิงสูงวัยที่กวาดลานบ้านเงินขาดมือฉันใด ข้าก็เงินขาดมือฉันนั้นเจ้าค่ะ!”
เฉิงฉือหัวเราะร่า
โจวเสาจิ่นย่นจมูก
ตั้งแต่ตกรางวัลให้ฝานฉีไป นางก็รู้สึกว่าตนเองหายใจหายคอได้ไม่สะดวกมาโดยตลอด เป็นเพราะเงินขาดมือจริงๆ
แต่เรื่องพวกนี้ไม่จำเป็นต้องบอกท่านน้าฉือ หลีกเลี่ยงไม่ให้ท่านน้าฉือเข้าใจผิดคิดว่าตนมาร้องไห้โอดครวญเรื่องเงินทองกับเขา
ไม่ว่าจะเป็นโจวเจิ้นก็ดี หรือหลี่ซื่อผู้เป็นมารดาเลี้ยงของโจวเสาจิ่นก็ดี ล้วนไม่มีทางหักเงินของโจวเสาจิ่นไปอย่างแน่นอน
แต่ด้วยทรัพย์สินเงินทองของโจวเจิ้นนั้น โจวเสาจิ่นอยากจะใช้เงินอย่างสุรุ่ยสุหร่ายก็คงเป็นไปไม่ได้
ทว่าในสายตาของเฉิงฉือ ขอเพียงเป็นเรื่องเงิน ก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องอะไร
เขาครุ่นคิดแล้ว หมุนกายไปหยิบถุงเงินสีน้ำเงินไพลินขนาดเท่าฝ่ามือที่มัดปากถุงไว้แน่นถุงหนึ่งจากตู้ไม้ที่เก็บของล้ำค่ามามอบให้โจวเสาจิ่น กล่าวยิ้มๆ ว่า “เก็บไว้ให้ดี อย่าทำหล่นหายที่ไหน”
“นี่คืออะไรหรือเจ้าคะ” โจวเสาจิ่นยื่นมือออกไปรับ
เฉิงฉือเลิกคิ้วขึ้น
โจวเสาจิ่นยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาประคองรับ เฉิงฉือถึงได้วางถุงเงินนั้นลงบนมือของนาง
ถุงเงินนั้นค่อนข้างหนัก แม้ว่าจะเตรียมตัวเตรียมใจเอาไว้แล้ว แต่โจวเสาจิ่นก็ยังซวนเซไปข้างหนึ่ง จนเกือบจะทำถุงเงินนั้นตกพื้นเสียแล้ว

VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน