ฮูหยินผู้เฒ่ากัวไม่เชื่อคำกล่าวอ้างดังกล่าว
นางกล่าวกับโจวเสาจิ่นยิ้มๆ เป็นการส่วนตัวว่า “ข้าว่าเกรงว่าจะเป็นหลี่จิ้งที่อยากจะรับเจ้าสาวใหม่กลับไปให้เร็วขึ้นสักหน่อย เพื่อหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่อาจจะเปลี่ยนแปลงโดยไม่คาดคิดเสียมากกว่า”
โจวเสาจิ่นยิ้มน้อยๆ ทว่ากลับเป็นห่วงเล็กน้อยว่าหลังจากที่เฉิงเจียแต่งงานไปแล้วจะรับผิดชอบงานบ้านงานเรือนไหวหรือไม่
แต่เฉิงเจียกลับไม่ใส่ใจเลยสักนิด กล่าวขึ้นว่า “มิใช่พ่อแม่สามีจริงๆ ของข้าสักหน่อย มีอะไรให้ข้าต้องกลัวด้วย อีกอย่างหลี่จิ้งบอกเอาไว้แล้วว่า ไม่ว่าเรื่องใดๆ ก็มีเขาอยู่! ขอเพียงข้าให้เกียรติผู้อื่นอย่างเพียงพอก็พอแล้ว”
โจวเสาจิ่นนึกถึงชาติก่อน เนื่องจากมีหลินซื่อเซิ่งสนับสนุนนาง ต่อให้คนในตระกูลหลินไม่ว่าระดับบนหรือล่างจะไม่พอใจนางเป็นอย่างยิ่งแต่นางก็เป็นฮูหยินหลินอย่างสงบสุขและมั่นคงเป็นเวลาสิบกว่าปี นางจึงรู้สึกว่าที่เฉิงเจียกล่าวมาก็มีเหตุผลไม่น้อย
เฉิงเจียเชิญโจวเสาจิ่นไปช่วยนาง “ท่านแม่ของข้ายังโกรธข้าอยู่ ถึงทุกวันนี้ก็ยังแสร้งป่วยนอนอยู่บนเตียง ท่านย่าก็อายุมากแล้ว ไม่มีเรี่ยวแรงพอ ข้างกายข้าจึงไม่มีคนค่อยย้ำเตือนแม้สักคน”
โจวเสาจิ่นกล่าวอย่างลำบากใจว่า “ข้าเองก็ไม่ค่อยรู้เรื่องพวกนี้ หรือไม่ ข้าให้ฝานมามาไปช่วยเจ้าดีหรือไม่”
ชาติก่อนตอนที่นางออกเรือนนั้น เรื่องเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ล้วนเป็นฝานหลิวซื่อช่วยจัดการให้นาง จึงคาดว่านางน่าจะรู้เรื่องพวกนี้ดี
“ต่อให้คนที่ช่วยทำให้จะเป็นนาง แต่ก็ยังคงต้องใช้ชื่อของเจ้าอยู่ดี” เฉิงเจียกระซิบกล่าว “ข้าจะออกเรือน คงไม่อาจให้บ่าวผู้หนึ่งเป็นคนทำให้หมดทุกอย่างหรอกกระมัง”
โจวเสาจิ่นฟังแล้วใจกระตุก
ไม่แน่ว่าอาจจะยังมีโอกาสได้ยินแผนการของเฉิงลู่อีก ต่อให้ไม่ได้ยิน บางทีก็อาจจะได้รู้เบาะแสอะไรบ้าง จะได้หลีกเลี่ยงเรื่องที่ว่าไม่ว่าเรื่องเล็กเรื่องใหญ่อะไรก็ต้องให้ท่านน้าฉือคอยช่วยเหลือทุกอย่าง เพราะความเป็นจริงแล้วท่านน้าฉืองานยุ่งมาก…
นางนึกถึงวันที่นางนั่งนับก้อนทองเมล็ดถั่วแดงอยู่บนตั่งหลัวฮั่นในวันนั้น ท่านน้าฉือก็ยุ่งอยู่กับการดูสมุดบัญชีและคิดบัญชีต่างๆ…
“ก็ได้!” โจวเสาจิ่นตอบอย่างแจ่มใส “เพียงแต่ว่าหากมีจุดไหนที่ข้าทำได้ไม่ดี เจ้าต้องอภัยให้ข้าด้วย”
“เจ้ามาช่วยข้าได้ข้าก็ดีใจมากแล้ว” เฉิงเจียกล่าว สีหน้าเผยความผิดหวังออกมาให้เห็นหลายส่วน เอ่ยขึ้นว่า “ลั่วหยางอยู่ไกลจากที่นี่ยิ่งนัก หลังจากข้าแต่งงงานออกไปแล้ว ไม่รู้ว่าพวกเราจะยังมีโอกาสได้พบหน้ากันอีกหรือเปล่า และบุตรชายบุตรสาวยังจะได้ดองกันอีกหรือไม่”
โจวเสาจิ่นรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย กล่าวขึ้นว่า “จากนี้เจ้าก็อดทนให้ผ่านไปสักสองสามปีแล้วกลับมาเยี่ยมบ้านสักครั้งหนึ่งก็ได้มิใช่หรือ”
เฉิงเจียยิ้มอย่างขมขื่น
เกรงว่าท่านแม่ของนางคงไม่ยินดีจะพบหน้าบุตรสาวที่ไม่เชื่อฟังผู้นี้นัก
โจวเสาจิ่นรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนา ชวนนางคุยเรื่องงานแต่งขึ้นมาแทน
ปี้อวี้เข้ามารายงานว่า “คุณหนูรอง ฮูหยินใหญ่ตระกูลกู้พาคุณหนูกู้ที่สิบเจ็ดและคุณหนูกู้ที่สิบแปดมาเยี่ยม ฮูหยินผู้เฒ่าให้ท่านไปกล่าวทักทายสักหน่อยเจ้าค่ะ”
เฉิงเจียรีบลุกขึ้นกล่าวอำลา
โจวเสาจิ่นไม่อาจรั้งนางเอาไว้ ออกไปส่งนางที่ประตูแล้วไปหาฮูหยินผู้เฒ่ากัว
ฮูหยินใหญ่ตระกูลกู้สวมเสื้อกั๊กปี๋เจี่ยสีคราม ทว่ากูที่สิบเจ็ดกับกูที่สิบแปดนั้นผู้หนึ่งสวมเสื้อกั๊กปี๋เจี่ยสีชมพู และอีกผู้หนึ่งสวมเสื้อกั๊กปี๋เจี่ยสีเขียวอ่อน
โจวเสาจิ่นถึงนึกขึ้นได้ว่า เนื่องจากกูที่สิบเจ็ดและกูที่สิบแปดเป็นรุ่นเหลน จึงออกจากการไว้ทุกข์แล้ว
ทุกครั้งที่คนจากตระกูลกู้มาหาฮูหยินผู้เฒ่ากัวล้วนเป็นเพราะมีเรื่อง เกรงว่าครั้งนี้ก็เช่นกัน
โจวเสาจิ่นให้การรับรองกูที่สิบเจ็ดและกูที่สิบแปดแทนฮูหยินผู้เฒ่ากัว พาพวกนางไปดื่มน้ำชาที่ห้องโถงรับรองแขก
กูที่สิบเจ็ดกับโจวเสาจิ่นพูดคุยเรื่องสัพเพเหระกัน ทว่ากูที่สิบแปดกลับดูใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเล็กน้อย
โจวเสาจิ่นหันไปส่งสายตาให้กูที่สิบเจ็ด
ไม่นาน กูที่สิบเจ็ดก็ลุกขึ้นขอตัวไปห้องทางการ
โจวเสาจิ่นไปเป็นเพื่อนนาง
ระหว่างทาง กูที่สิบเจ็ดกล่าวยิ้มๆ ว่า “เจ้าเองก็มิใช่คนนอก ต่อให้ข้าไม่บอกเจ้า ประเดี๋ยวเจ้าไปพบฮูหยินผู้เฒ่า ฮูหยินผู้เฒ่าก็คงบอกเจ้าอยู่ดี ฮูหยินใหญ่พาพวกข้าพี่น้องมาที่นี่ เพราะอยากขอให้ฮูหยินผู้เฒ่าช่วยหาคู่ครองที่ดีๆ สักหน่อยให้พวกข้าพี่น้อง ฟังจากน้ำเสียงของฮูหยินใหญ่แล้ว ดูเหมือนว่าอยากจะเกี่ยวดองกับตระกูลกัว”
โจวเสาจิ่นรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยกับท่าทีสงบนิ่งของกูที่สิบเจ็ด
กูที่สิบเจ็ดกล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้าเตรียมใจเอาไว้นานแล้ว ข้าที่เป็นเช่นนี้ ถึงแม้จะหาตระกูลที่ดีที่สุดไม่ได้ แต่ก็คงไม่อาจแต่งให้คนที่แย่จนเกินไปได้ ขอเพียงคนผู้นั้นไม่วิกลจริตไม่โง่เขลา ชีวิตนี้ก็คงจะยังพอคิดหาวิธีให้ค่อยๆ มีความสุขขึ้นได้อย่างแน่นอน”
โจวเสาจิ่นชอบความเป็นคนมองโลกในแง่ดีของกูที่สิบเจ็ด
นางกล่าวปลอบโยนกูที่สิบเจ็ดว่า “เจ้าวางใจเถิด ฮูหยินผู้เฒ่าเป็นคนที่ชอบช่วยเหลือคนผู้หนึ่ง นอกจากนี้ความสัมพันธ์ของตระกูลกู้ ตระกูเฉิงและตระกูลกัวต่างไม่เลวนัก ไม่น่าจะมีเรื่องอะไร”
“ข้าเองก็คิดเช่นนั้น แต่น้องสิบแปดกังวลใจเป็นอย่างมาก” กูที่สิบเจ็ดกล่าวยิ้มๆ กลับมาที่ห้องโถงพร้อมกับโจวเสาจิ่น
โจวเสาจิ่นเพียงคุยกับกูที่สิบแปดเกี่ยวกับเรื่องงานเย็บปักเล็กน้อยเท่านั้น กูที่สิบแปดก็ค่อยๆ อารมณ์เบิกบานขึ้นมา กระทั่งตอนที่ฮูหยินใหญ่กู้พาพวกนางกลับจวนนั้น พวกนางก็ได้นัดแนะกันว่าครั้งหน้าจะไปชมดอกบัวที่จวนตระกูลกู้ด้วยกัน
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวได้ยินแล้วก็กล่าวยิ้มๆ ว่า “ศาลาริมน้ำของพวกเราไม่มีใครใช้เลยตลอดทั้งปี ในเมื่อพวกเจ้าพี่น้องต่างนัดแนะกันแล้ว ก็มาที่ซอยจิ่วหรูก็แล้วกัน ข้าจะให้บ่าวรับใช้เตรียมเรือกรรเชียงเล็กๆ เอาไว้ให้พวกเจ้าพายเล่นหรือไม่ก็เตรียมเรือบ้านเอาไว้ให้พวกเจ้าต่อบทกลอนกัน”
การใช้เงินจากคลังกองกลางของตระกูลกู้นั้นไม่ง่ายนัก จะให้แต่ละบ้านดึงเอาเงินส่วนตัวของตัวเองออกมาใช้ก็ไม่ง่ายเช่นกัน ให้มาชมดอกบัวที่ตระกูลเฉิง อีกทั้งยังมีฮูหยินผู้เฒ่ากัวเป็นคนเอ่ยปาก จึงสะดวกกว่ามาก
โจวเสาจิ่นขานรับยิ้มๆ ว่า “เจ้าค่ะ” แล้วเขียนจดหมายไปให้กูที่สิบเจ็ด
กูที่สิบเจ็ดกับกูที่สิบแปดต่างตอบรับอย่างยินดี โจวเสาจิ่นจึงส่งเทียบเชิญไปให้จูจูและคนอื่นๆ ด้วย
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวตั้งใจจะสอนโจวเสาจิ่น ตัวเองสะบัดมือไม่สนใจ แต่ให้สื่อมามาไปช่วยนางจัดงานชมดอกไม้แทน
โจวเสาจิ่นหวนรำลึกถึงภาพเหตุการณ์ตอนที่พี่สาวจัดงานเลี้ยงต้อนรับแขก จึงจัดการได้อย่างมีแบบมีแผน ไม่มีข้อผิดพลาดอะไร



VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน