ตระกูลกู้นั้นมีชื่อเสียงดีมาโดยตลอด ทั้งไม่เคยได้ยินว่ามีบุตรหลานคนใดประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานอย่างกะทันหัน แล้วก็ไม่เคยได้ยินว่ามีบุตรหลานไปเกี่ยวดองกับตระกูลขุนนางผู้มีอิทธิพลตระกูลใดมาก่อน
แล้วเหตุใดเฉิงจิงถึงต้องการทาบทามให้เฉิงอี้ไปสู่ขอกูที่สิบเจ็ดของตระกูลกู้ด้วยนะ
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนยังคงไม่เข้าใจต่อให้ครุ่นคิดมาแล้วกว่าร้อยครั้งก็ตาม
เฉิงเหมี่ยนกล่าว “หรือว่าควรจะเขียนจดหมายไปถามน้องเขยดู เขารับราชการอยู่ในราชสำนัก อีกทั้งยังดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าเมืองเป่าติ้ง ไม่ถึงหนึ่งวันก็น่าจะทราบข่าวคราวของเมืองหลวงแล้ว”
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนยิ่งแล้วใหญ่กล่าวขึ้นอย่างรีบร้อนว่า “เช่นนั้นน่าจะถือโอกาสตอนที่เรื่องนี้ยังไม่ถูกเปิดเผยออกไปคุยกับท่านน้องเขยโจวโดยตรงไปเลย กำหนดเรื่องงานแต่งของเสาจิ่นกับอี้เกอเอ๋อร์ให้แล้วเสร็จเสีย”
คนเรานั้นยิ่งอายุมากขึ้นก็ยิ่งกลัวปัญหา
“พูดเหลวไหล!” ฮูหยินผู้เฒ่ากวนลดเสียงลงกล่าวตำหนิอย่างอดไม่ได้ “นายท่านใหญ่จิงเขียนจดหมายมาให้พวกเรา เจ้ากล้ารับประกันหรือไม่ว่าเขาจะไม่เขียนจดหมายไปให้ตระกูลกู้ด้วย เสาจิ่นกับอี้เกอเอ๋อร์ของพวกเรายังไม่ได้หมั้นหมายกัน คนนอกอาจจะไม่รู้เรื่องนี้ แต่คนในซอยจิ่วหรูจะไม่รู้ด้วยอย่างนั้นหรือ เจ้าจะให้นายท่านใหญ่จิงคิดอย่างไร แทนที่จะทำให้นายท่านใหญ่จิงรู้สึกว่าพวกเราใช้เสาจิ่นมาเป็นข้ออ้างเรื่องงานแต่งของอี้เกอเอ๋อร์ ไม่สู้เลือกข้อเสียของตระกูลกู้สักข้อแล้วตอบนายท่านใหญ่จิงไปตามตรงยังจะดีเสียกว่า นายท่านใหญ่จิงยังจะยอมรับได้มากกว่า ยิ่งกว่านั้นอีกไม่กี่ปีเก้าเกอเอ๋อร์ก็จะต้องลงสนามสอบแล้ว จึงไม่อาจทำให้นายท่านใหญ่จิงขุ่นเคืองใจได้จริงๆ”
ไม่ว่าจะคิดอย่างไรฮูหยินใหญ่เหมี่ยนก็รู้สึกว่าโจวเสาจิ่นดีกว่า จึงอยากจะเก็บโจวเสาจิ่นเอาไว้ด้วยความมาดมั่น โดยเฉพาะหลังจากที่โจวเสาจิ่นไปอยู่ที่เรือนหานปี้ซานแล้ว กิริยาท่าทางและการจัดการเรื่องต่างๆ ล้วนเปลี่ยนไปอย่างมาก ในความสุภาพนุ่มนวลนั้นมีความสง่างามอย่างเป็นธรรมชาติแฝงอยู่ด้วยเล็กน้อย ทำให้คนรู้สึกเอ็นดูรักใคร่จริงๆ
นางได้ยินเช่นนั้นแล้วก็พึมพำกล่าวเสียงเบาว่า “นี่ก็ไม่ได้ นั่นก็ไม่ได้ หรือว่าพวกเราจะมองอี้เกอเอ๋อร์แต่งคุณหนูที่สิบเจ็ดของตระกูลกู้เข้ามาโดยไม่ทำอะไรเลยจริงๆ หรือเจ้าคะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนเองก็ไม่ยินยอม
คุณหนูจากตระกูลกู้ไม่ค่อยมีสินติดตัวอะไรเท่าใด นี่เป็นสิ่งที่คนทั่วทั้งเมืองจินหลิงต่างทราบกันดี ตรงกันข้ามหลายปีมานี้โจวเจิ้นประสบความสำเร็จก้าวหน้าในหน้าที่การงานเป็นอย่างมาก ยิ่งอยู่สินติดตัวของพี่น้องตระกูลโจวก็ยิ่งมีมูลค่ามากขึ้น อีกทั้งจวงซื่อผู้เป็นมารดาของโจวเสาจิ่นก็เป็นคนในของดวงใจของโจวเจิ้น ถึงแม้จะไม่มีสินติดตัวของจวงซื่อ แต่ไม่ว่าอย่างไรโจวเจิ้นก็ไม่มีทางปฏิบัติกับโจวเสาจิ่นอย่างอยุติธรรมเป็นแน่ บิดาของคุณหนูสิบเจ็ดตระกูลกู้เป็นซิ่วไฉที่สอบไม่ผ่านครั้งแล้วครั้งเล่าผู้หนึ่ง มิใช่ว่าเป็นคนดื้อรั้น เพียงแต่ว่าไม่ค่อยฉลาด ส่วนโจวเจิ้นตอนนี้เป็นเจ้าเมืองขั้นสี่แล้ว ยิ่งอยู่อนาคตต่อไปในภายภาคหน้าก็ยิ่งดีขึ้นเรื่อยๆ…เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว นอกจากเรื่องที่ว่าบรรพบุรุษของตระกูลกู้มีชื่อเสียงดี ตระกูลรุ่งเรืองมั่งคั่ง บุตรหลานมากมาย การได้เกี่ยวดองกับตระกูลเช่นนี้เมื่อเจอปัญหาอะไรในภายภาคหน้าจะมีคนจากตระกูลมารดาคอยออกหน้าช่วยเหลือให้ได้แล้ว ก็ไม่มีอะไรดีไปกว่าตระกูลโจวเลย
แต่พวกเขาเป็นตระกูลบัณฑิต มิใช่สกุลต่ำช้า พอมีเรื่องยังคิดจะเปรียบว่าตระกูลใดมีคนมากกว่าตระกูลใดแข็งแกร่งกว่าอีกอย่างนั้นหรือ
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนพึมพำกล่าว “ข้าว่าเรื่องนี้คงต้องขอให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวช่วย!”
เฉิงเหมี่ยนพยักหน้า กล่าวขึ้นว่า “ยังคงเป็นท่านแม่ที่มองได้กว้างไกล ความเป็นมาของเรื่องนี้ เกรงว่าคงมีแต่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวที่จะสอบถามสาเหตุที่แท้จริงมาได้แล้วขอรับ!”
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนกล่าวอย่างร้อนใจว่า “เรื่องไม่อาจรอช้า เช่นนั้นประเดี๋ยวพวกเราไปเรือนหานปี้ซานสักครั้งดีหรือไม่เจ้าคะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนกำลังจะเอ่ยอนุญาต ซื่อเอ๋อร์ก็เลิกผ้าม่านขึ้นพร้อมกับกล่าวขึ้นว่า “นายท่านใหญ่ นายหญิงผู้เฒ่า ฮูหยินใหญ่ ฮูหยินผู้เฒ่ากัวมาเจ้าค่ะ!”
ทั้งสามคนต่างตกตะลึงงัน
เฉิงเหมี่ยนกล่าวคาดการณ์ว่า “ท่านป้าสะใภ้ใหญ่คงมาด้วยเรื่องงานแต่งของอี้เกอเอ๋อร์กับตระกูลกู้กระมัง”
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนกับฮูหยินใหญ่เหมี่ยนได้สติคืนกลับมา ฮูหยินผู้เฒ่ากวนบอกบุตรชายว่า “เจ้าหลบไปก่อน ถ้าหากว่าพูดคุยไกล่เกลี่ยกันไม่ได้ ก็คงต้องให้นายท่านอย่างพวกเจ้าช่วยออกหน้าลองดูอีกที”
“ข้าเข้าใจขอรับ!” เฉิงเหมี่ยนประคองฮูหยินผู้เฒ่ากวนไปจนถึงหน้าประตู กล่าวขึ้นว่า “ท่านเชิญท่านป้าสะใภ้ใหญ่ไปนั่งที่ห้องนั่งเล่นจะดีกว่า ข้าจะได้ฟังด้วยว่าท่านป้าสะใภ้ใหญ่พูดว่าอะไรบ้าง!”
ห้องชั้นในของฮูหยินผู้เฒ่ากวนกับห้องนั่งเล่นอยู่ติดกัน ปรกติเวลาฮูหยินผู้เฒ่ากัวมาหานั้นเพื่อแสดงความเป็นกันเองแล้ว หากมิใช่ให้การรับรองฮูหยินผู้เฒ่ากัวในห้องชั้นในก็จะอยู่ที่ห้องนั่งเล่น
ถ้าหากว่าเนื่องจากเฉิงเหมี่ยนเข้าไปหลบอยู่ในห้องชั้นในแล้วต้องพาฮูหยินผู้หยินผู้เฒ่ากัวไปรับรองที่ห้องโถงรับรอง โดยเฉพาะในเวลาที่พวกนางอยากจะเก็บโจวเสาจิ่นเอาไว้ทว่าเฉิงจิงกลับทาบทามตระกูลกู้ให้เช่นนี้ คงเป็นเรื่องง่ายที่จะทำให้คนคิดมากได้
แต่ความจริงแล้วฮูหยินผู้เฒ่ากวนคิดมากเกินไปเอง
เพราะฮูหยินผู้เฒ่ากัวมิได้สังเกตเห็นเรื่องพวกนี้ ต่อให้สังเกตเห็นก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจ ที่นางมาหา ก็เพียงเพื่อมาอธิบายกับจวนสี่ให้กระจ่างสักครั้ง ดังนั้นความสัมพันธ์ของตระกูลเฉิงและตระกูลกู้ทั้งสองตระกูลก็จะยิ่งกระชับแน่นยิ่งขึ้นก็เท่านั้น
นางกล่าวตรงเข้าประเด็นว่า “พวกเจ้าคงโปรดปรานเสาจิ่นมากใช่หรือไม่ ทางด้านของบุตรเขยตระกูลโจว เคยมีการหมั้นหมายปากเปล่าหรือแลกเปลี่ยนสิ่งของอะไรกันหรือยัง” กล่าวจบ นางยิ้มอย่างขมขื่นพร้อมกับกล่าวทอดถอนหายใจว่า “จื่อหมิงคิดว่าเขาเป็นตัวแทนของซอยจิ่วหรูได้ ก็เลยเขียนจดหมายไปให้ตระกูลกู้ก่อน ตระกูลกู้ทราบเรื่องแล้วก็ยินดีเป็นอย่างมาก จื่อหมิงถึงได้เขียนจดหมายมาให้พวกเจ้า…
…แต่ใครจะรู้ว่าจะเกิดข้อผิดพลาดเช่นนี้ได้…
…เพียงแต่ว่าเขาเป็นนายท่านใหญ่มาจนเคยตัว จะให้เขากลับคำพูดในเวลานี้ เขาก็รู้สึกไม่อาจเสียหน้าได้อยู่บ้างเล็กน้อย ประจวบเหมาะกับข้าให้คนไปสอบถามเขาพอดี เขาจึงมอบหมายเรื่องนี้มาให้ข้า พวกเจ้าจงเล่าเรื่องการหมั้นหมายปากเปล่ากับตระกูลโจวในตอนแรกเริ่มให้ข้าฟัง ข้าจะทำหน้าที่เป็นคนใจร้ายผู้นั้นเอง…
…ความผิดนับพันหมื่นที่เกิดขึ้น ล้วนเป็นความผิดของจื่อหมิงทั้งนั้น! ทางด้านของตระกูลกู้ พวกข้าจะชดเชยให้พวกเขาเอง พวกเจ้าอย่าได้เป็นกังวลใจ”
จื่อหมิงคือชื่ออย่างสุภาพของเฉิงจิง
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนใบหน้าขึ้นสีแดง กล่าวขึ้นว่า “นี่จะตำหนิจิงจื๋อเอ๋อร์ได้อย่างไร เขาเองก็ทำไปด้วยความตั้งใจดี ส่วนเรื่องชดเชยนั้น พวกเราจวนสี่จะออกให้เอง จะสร้างความลำบากให้จวนหลักได้อย่างไร ให้จิงจื๋อเอ๋อร์ออกแรงให้แล้วยังจะต้องออกเงินให้ด้วยอีก”
เดิมทีฮูหยินผู้เฒ่ากวนมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าจะให้โจวเสาจิ่นแต่งกับเฉิงอี้ แต่ผู้ใดจะรู้ว่าระหว่างทางกลับเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น นางเป็นกังวลถึงผลได้ผลเสียอยู่บ้างเล็กน้อย กลัวว่าครอบครัวของตนจะกระตือรือร้นอยู่เพียงฝ่ายเดียว จึงข้ามผ่านเรื่องสิ่งของแลกเปลี่ยนไปอย่างคลุมเครือ พูดถึงแต่เพียงเรื่องชดเชยเท่านั้น
เช่นนี้ถ้าหากว่าตระกูลโจวไม่ยินยอมยกโจวเสาจิ่นให้พวกนาง นางก็ยังมีทางให้ถอยได้อีกเส้นหนึ่ง
แต่ใครจะรู้ว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวกลับเอ่ยขึ้นว่า “นี่มิใช่เรื่องของเงินทอง! เกรงว่าจื่อหมิงคงต้องมองหาตำแหน่งในราชสำนักที่เหมาะสมให้บุตรหลานของตระกูลกู้สักสองสามคน ตอนคุณชายเก้าของตระกูลกู้เข้ารับตำแหน่ง ก็ต้องใช้เงินจำนวนหนึ่งเช่นกัน”
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนและลูกสะใภ้ทั้งสองคนต่างพูดอะไรไม่ออก
การชดเชยเช่นนี้ พวกนางไม่ต้องพูดว่าจะคืนให้แล้ว แม้แต่คิดก็ยังไม่กล้าคิดด้วยซ้ำ
หลังจากที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจากไปแล้ว ผ่านไปครู่ใหญ่แต่สามแม่ลูกต่างก็ยังไม่เอื้อนเอ่ยคำใด
เนิ่นนาน เฉิงเหมี่ยนฝืนยิ้มออกมาครั้งหนึ่ง กล่าวปลอบโยนมารดาว่า “ก็ถือเสียว่าจวนสี่ของพวกเราติดหนี้น้ำใจอันใหญ่หลวงของจวนหลักสักครั้งก็แล้วกันขอรับ ต่อไปให้เฉิงอี้เป็นคนตอบแทน”
เรื่องที่ว่าเฉิงอี้จะมีความสามารถไปตอบแทนน้ำใจของจวนหลักนั้น แม้แต่เฉิงเหมี่ยนเองยังไม่เชื่อ จึงยิ่งไม่ต้องพูดถึงฮูหยินผู้เฒ่ากวนและฮูหยินใหญ่เหมี่ยนแล้ว


VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน