อู๋เป่าจางหัวเราะไม่ออก
โจวเสาจิ่นรู้ได้อย่างไรว่านางทำของกินเล่นเหล่านั้นได้
นางให้ชุนหว่านมาเรียนทำขนมแป้งข้าวนึ่งกับตน ตนได้พูดจาโอ้อวดไปก่อนหน้านี้แล้ว ถ้าให้บ่าวรับใช้ข้างกายช่วยโม่แป้งและกรองน้ำออกจากแป้งให้ล่ะก็ เมื่อชุนหว่านกลับไปจะต้องเอาไปพูดกับโจวเสาจิ่นเป็นแน่ โจวเสาจิ่นไม่เพียงเป็นที่ชื่นชอบของฮูหยินผู้เฒ่ากวนเท่านั้น ยังได้รับความโปรดปรานจากฮูหยินผู้เฒ่ากัวด้วย ถ้านางไปแอบไปกระซิบกระซาบต่อหน้าผู้ใหญ่สักหนึ่งหรือสองประโยค คนของตระกูลเฉิงทั้งบนและล่างจะมองนางอย่างไร
แต่ข้าวสารทั้งหมดสิบจิน…
เหงื่อเย็นผุดออกมาเต็มหน้าผากของนาง
มิใช่ว่าต้องใช้แรงของนางไปครึ่งชีวิตหรอกหรือ
โจวเสาจิ่นทำเช่นนี้โดยไม่ตั้งใจหรือตั้งใจกันแน่
นางเพ่งสายตามองไปที่โจวเสาจิ่น
โจวเสาจิ่นแย้มยิ้มมองนางด้วยแววตาใสแจ๋วดุจน้ำในฤดูใบไม้ร่วง ดวงตาดำตัดขาวกระจ่างใสเสียจนราวกับจะสะท้อนเงาคนออกมาได้ บริสุทธิ์ไร้เดียงสาประหนึ่งเด็กน้อย
เด็กสาวเช่นนี้จะมาเล่นงานนางได้อย่างไร
อู๋เป่าจางรีบสลัดความสงสัยของตัวเองทิ้งไปในทันที
แต่ขนมแป้งข้าวนึ่งสิบจินนั้นจะทำอย่างไรดี
นางใช้สมองขบคิดอย่างรวดเร็ว
โจวเสาจิ่นกลับรู้สึกสาแก่ใจอยู่ในใจเล็กน้อย
มิใช่ว่าเจ้าต้องการแสร้งเป็นคนดีหรอกหรือ เช่นนั้นข้าก็จะสนองให้เจ้าเอง ให้เจ้าได้เสแสร้งเสียให้พอ
ไม่เพียงให้อู๋เป่าจางทำขนมแป้งข้าวนึ่งสิบจินเท่านั้น ยังจะให้ชุนหว่านไปเรียนทำของกินเล่นกับนางด้วย บีบบังคับให้นางลงมือทำด้วยตัวเอง ดูว่านางยังจะโอ้อวดตัวเองต่อหน้าผู้ใหญ่อีกหรือไม่!
โจวเสาจิ่นหันไปมองชุนหว่าน
ชุนหว่านงุนงงไปหมดแล้ว
ตนเป็นสาวใช้ใหญ่ข้างกายคุณหนูรอง ดูแลเรื่องพวกอาหารและเสื้อผ้าให้คุณหนูรอง จะให้ทิ้งเรื่องทั้งหมดนี้แล้วไปเรียนทำขนมแป้งข้าวนึ่งกับสะใภ้ใหญ่นั่ว…ขนมแป้งข้าวนึ่งของสะใภ้ใหญ่นั่วทำได้ไม่เลวก็จริง แต่โรงครัวของเรือนชั้นนอกก็ทำออกมาได้เช่นกัน นอกจากนี้ยังถูกปากของทุกคนที่ซอยจิ่วหรูมากกว่าขนมแป้งข้าวนึ่งของสะใภ้ใหญ่นั่วเสียอีก คุณหนูรองต้องการส่งขนมแป้งข้าวนึ่งไปให้คุณหนูใหญ่ ไม่บอกให้แม่ครัวใหญ่ที่โรงครัวของเรือนชั้นนอกทำ แต่ให้นางไปเรียนทำกับสะใภ้ใหญ่นั่ว…นี่มิใช่ว่าเรื่องราวกลับตาลปัตรไปหมดแล้วหรอกหรือ!
แต่ชุนหว่านเคารพเชื่อฟังโจวเสาจิ่นเป็นอย่างมากมาโดยตลอด ในเมื่อโจวเสาจิ่นสั่งการลงมาแล้ว นางจึงขานรับพร้อมกับยิ้มตาหยี ยอบตัวถอนสายบัวให้อู๋เป่าจาง กล่าวขึ้นว่า “สะใภ้ใหญ่นั่ว ข้าเป็นคนมือเท้าเชื่องช้าโง่เขลายิ่งนัก หากมีตรงจุดใดที่ทำไม่ถูกต้อง ท่านดุด่าได้เลยเจ้าค่ะ”
อู๋เป่าจางรีบกล่าว “แม่นางชุนหว่านกล่าวหนักไปแล้ว แต่หวังว่าความสามารถเล็กๆ น้อยๆ นี้ของข้าจะเข้าตาเป็นที่พึงใจของคุณหนูรองของพวกเจ้า”
เมื่อก่อนโจวเสาจินเป็นคนที่พูดไม่เก่งผู้หนึ่ง ดังนั้นโจวชูจิ่นจึงเลือกสาวใช้ที่เข้าสังคมเก่งมาให้นาง
ชุนหว่านได้ยินแล้วก็กล่าวยิ้มๆ ว่า “สะใภ้ใหญ่นั่วถ่อมตัวเกินไปแล้วเจ้าค่ะ! หากว่าคุณหนูรองของพวกข้าไม่ชื่นชมฝีมือของสะใภ้ใหญ่นั่ว ก็คงไม่ยอมให้ข้าทิ้งงานจำนวนมากที่เรือนไปเรียนทำขนมแป้งข้าวนึ่งกับท่านหรอกเจ้าค่ะ กลัวแต่ว่านี่จะเป็นสูตรลับที่สืบทอดกันมาของตระกูลสะใภ้ใหญ่นั่ว โชคดีที่ปรกติแล้วคุณหนูรองของพวกข้าไม่ได้ออกไปไหน จึงไม่มีทางที่จะนำเอาสิ่งที่สะใภ้ใหญ่นั่วสอนมาไปหาประโยชน์อย่างแน่นอน สะใภ้ใหญ่นั่วสอนข้าอย่างวางใจได้เลยเจ้าค่ะ!”
อู๋เป่าจางได้ยินแล้วไม่ชอบใจยิ่งนัก
คิดไม่ถึงว่าชุนหว่านที่ดูน่ารักและบอบบางผู้นี้ เมื่อเปล่งคำพูดออกมากลับทิ่มแทงผู้คนประหนึ่งมีดก็ไม่ปาน
ไหนจะพูดว่าสูตรลับที่สืบทอดกันมาของตระกูลบ้างล่ะ ไหนจะบอกว่าโดยปรกติคุณหนูรองไม่ได้ออกไปไหนจึงไม่มีทางที่จะนำเอาสิ่งที่สะใภ้ใหญ่นั่วสอนมาไปหาประโยชน์อย่างแน่นอนบ้างล่ะ
บิดาของตัวเองเป็นเจ้าเมืองขั้นสี่ผิ่น มิใช่คนหาบเร่ขายของตามถนนอะไรสักหน่อย
นางกล่าวเช่นนี้ มิเท่ากับลอบเปรียบเปรยว่านางมีพื้นเพต่ำต้อยหรอกหรือ
ยังพูดว่าให้ตนสอนนางอย่างวางใจอีก
หากนางทำไม่เป็น มิเท่ากับว่าเป็นเพราะตนไม่ยอมสอนนางหรอกหรือ
อู๋เป่าจางหันไปมองโจวเสาจิ่นอีกครั้ง
โจวเสาจิ่นยืนยิ้มตาหยีอยู่ตรงนั้น ดูเงียบสงบดุจพระจันทร์เสี้ยวดวงหนึ่ง ดูราวกับว่าฟังความนัยที่แฝงอยู่ในคำพูดของชุนหว่านไม่ออก
นางรู้สึกอึดอัดหายใจไม่ออกอย่างช่วยไม่ได้
โจวเสาจิ่นผู้นี้ ช่างเป็นคนงามที่ไร้ความสามารถผู้หนึ่งจริงๆ!
หากมิใช่เพราะมีโจวชูจิ่นคอยปกป้องนาง เกรงว่านางคงถูกผู้อื่นกินจนไม่เหลือแม้แต่กระดูกแล้วกระมัง
เมื่อคิดถึงตรงนี้ นางก็รู้สึกปวดแปลบในใจยิ่งนัก
ถึงแม้พี่ชายอย่างอู๋ไท่เฉิงจะดีกับนาง คอยปกป้องนางทุกอย่าง แต่วิสัยทัศน์คับแคบเกินไป อีกทั้งยังไม่มีความอดทน มักจะสร้างปัญหาอยู่บ่อยๆ ต้องให้นางช่วยจัดการสะสางปัญหาให้ด้วยซ้ำ
บิดาของโจวเสาจิ่นผู้นี้ก็เป็นเพียงเจ้าเมืองขั้นสี่ผิ่นผู้หนึ่ง มารดาแท้ๆ เสียชีวิตและบิดาแต่งงานใหม่เหมือนกัน แม้แต่พี่ชายสักคนก็ไม่มี ทว่ากลับมีชีวิตที่ดีกว่านางมาก ติดตามพี่สาวร่วมบิดามาอาศัยอยู่ใต้ชายคาของยายที่ไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดเลยแม้แต่น้อย แต่บิดากลับเป็นห่วงพวกนางสองพี่น้องอยู่ตลอด คอยส่งสิ่งของมาให้บ่อยๆ พี่ชายที่เป็นลูกพี่ลูกน้องทั้งสองคนในบ้านยังปฏิบัติกับนางเสมือนนางเป็นอัญมณีล้ำค่า กลัวว่านางจะได้รับความลำบากต่างๆ นานา ได้ยินมาว่าแม้แต่เฉิงลู่ก็ยังเคยสนใจนางด้วย…คนเรานี้ต่อให้มีเงื่อนไขชีวิตคล้ายกันแต่ชะตาชีวิตก็ไม่เหมือนกัน
ชะตาชีวิตของโจวเสาจิ่นดีขนาดนี้
นางกล่าวกับชุนหว่านยิ้มๆ อย่างอดไม่ได้ว่า “เพียงของกินเล่นเท่านั้น! หากข้าไร้น้ำใจ คงไม่ตอบตกลงสอนเจ้าหรอก!”
ชุนหว่านรีบกล่าว “สะใภ้ใหญ่นั่วอย่าตำหนิเลยเจ้าค่ะ! เป็นบ่าวที่ไม่รู้จักพูด” กล่าวจบ ก็ยอบกายถอนสายบัวให้นางสามครั้ง
อู๋เป่าจางเองก็ไม่เหมาะที่จะคิดบัญชีกับนาง เพื่อหลีกเลี่ยงมิให้เกิดภาพจำว่านางเป็นคนจิตใจคับแคบในสายตาของผู้ใหญ่ จึงพูดคุยและหัวเราะกับชุนหว่านไปอีกสองสามประโยค นัดแนะเวลาเรียนทำขนมแป้งข้าวนึ่งกันเรียบร้อยแล้วก็กล่าวขอตัวลา


VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน