เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ ว่า “ในเมื่อนางชอบเป็นที่สนใจขนาดนี้ หากข้าเป็นเจ้า จะยุยงให้อู๋ซื่อส่งขนมแป้งข้าวนึ่งไปให้ทุกจวน จะให้ดีที่สุดก็ช่วงเทศกาลเก้าคู่ของเดือนเก้านี้ ไปบอกโรงครัวที่เรือนชั้นนอกเป็นการส่วนตัวให้ทำขนมแป้งข้าวนึ่งเป็นของว่างของงานเลี้ยงในวันนั้นด้วย แล้วให้นำขนมแป้งข้าวนึ่งที่อู๋ซื่อเป็นคนทำมาขึ้นโต๊ะก่อน พอทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าอร่อย ก็ค่อยนำขนมแป้งข้าวนึ่งที่โรงครัวทำมาขึ้นโต๊ะ อาหารที่โรงครัวของเรือนชั้นนอกทำส่วนใหญ่ล้วนเป็นรสชาติที่ถูกปากคนในจวนของพวกเราทั้งสิ้น อีกทั้งสาวใช้ของเจ้าก็เคยไปเรียนทำขนมแป้งข้าวนึ่งกับนางมาก่อน คิดจะใช้เรื่องพวกนี้เป็นอุบายช่างง่ายดายเกินไปแล้ว อู๋ซื่อเสียหน้าในครั้งนี้แล้ว ต่อไปก็ไม่กล้าทำตัวเรียกร้องความสนใจง่ายๆ เช่นนี้อีกแล้ว”
โจวเสาจิ่นปรบมืออย่างห้ามไม่อยู่ กล่าวอย่างยินดีว่า “ความคิดนี้ดีเจ้าค่ะ!” ทว่าหลังจากนั้นกลับเอ่ยขึ้นอย่างไม่แน่ใจว่า “พวกเราเล่นงานอู๋เป่าจางเช่นนี้จะดีหรือเจ้าคะ”
นางเติบโตมาขนาดนี้ยังไม่เคยขุดหลุมล่อผู้ใดมาก่อนเลยสักครั้ง
เฉิงฉือกล่าว “คนเช่นนาง เจ้าสั่งสอนนางหนึ่งครั้ง นับจากนี้ไปนางก็จะไม่มายุ่งกับเจ้าอีกแล้วอย่างนั้นหรือ”
แน่นอนว่าไม่ใช่
ชาติก่อน นางอดทนมาหลายต่อหลายครั้ง ต่อมาก็เคยใช้อุบายตลบหลังนางเหมือนกัน แต่อู๋เป่าจางไม่เพียงไม่หยุดและปล่อยนางไป กลับยิ่งถากถางเยาะเย้ยนางมากขึ้น เนื่องจากพวกผู้ใหญ่ล้วนคิดว่าอู๋เป่าจางเป็นคนอ่อนโยนโอบอ้อมอารี ทำให้แม้แต่จะฟ้องนางก็ยังทำไม่ได้ ต่อมาจึงเลิกไปมาหาสู่กับอู๋เป่าจาง ยังข่มขู่มิให้เฉิงเจียไปมาหาสู่กับอู๋เป่าจางด้วย เฉิงเจียเห็นว่านางไม่ชอบอู๋เป่าจางจริงๆ จึงค่อยๆ ออกห่างจากอู๋เป่าจางไปด้วย
โจวเสาจิ่นยิ้มพร้อมกับส่ายศีรษะ
เฉิงฉือจึงเอ่ยขึ้นว่า “นี่ก็คือการชมให้ตายใจก่อนแล้วค่อยบดขยี้ทีหลัง”
โจวเสาจิ่นพยักหน้าหงึกๆ
แต่วิธีการเช่นนี้คงมีแต่ท่านน้าฉือที่ทำได้กระมัง
แววตาของนางเปล่งประกายระยิบระยับ กล่าวขึ้นว่า “แต่ข้าจะให้คนที่โรงครัวทำตามที่ข้าต้องการได้อย่างไรเจ้าคะ”
เฉิงฉือหัวเราะ เอ่ยขึ้นว่า “ไปคิดหาวิธีเอาเอง”
เขาแสดงออกทางสีหน้าว่าช่วยไม่ได้ ทำให้ใจของโจวเสาจิ่นเต้นตึกตัก
นางหัวเราะคิก แววตาสุกใส ดูน่ารักอย่างที่อธิบายออกมาไม่ได้ กล่าวขึ้นว่า “ข้าจะบอกว่าท่านน้าฉือให้ข้าไปบอกพวกเขาเจ้าค่ะ”
เฉิงฉือคิดไม่ถึงว่านางจะตอบตัวเองเช่นนี้ ตกตะลึงไปเล็กน้อย
นับตั้งแต่เขาเริ่มดูแลกิจการมา ไม่รู้ว่ามีคนมากมายเท่าไรที่แอบอ้างใช้ชื่อเขาไปทำเรื่องต่างๆ แต่ไม่มีใครสักคนที่กล้ามาบอกเขาต่อหน้าอย่างโจวเสาจิ่น และยิ่งไม่มีใครสักคนที่นอกจากจะไม่ทำให้เขารู้สึกรังเกียจแล้ว ตรงกันข้ามกลับรู้สึกสนุกได้เหมือนกับโจวเสาจิ่น
“ได้!” เขากล่าวด้วยท่าทางโอบอ้อมอารีมีน้ำใจเป็นอย่างยิ่ง “ขอเพียงเจ้าทำให้คนที่โรงครัวเชื่อว่าเป็นความคิดของข้าได้”
โจวเสาจิ่นยิ้มเจ้าเล่ห์
ช่วงเวลาที่ได้มาอยู่ที่จวนหลัก ทำให้นางได้เรียนรู้และเข้าใจคำกล่าวอันโด่งดังที่ว่า ‘กฎตายแต่คนเป็น[1]’ นั้นได้เป็นอย่างดี
ตามหลักแล้ว หากคนจากเรือนชั้นในต้องการให้โรงครัวที่เรือนชั้นนอกทำอะไรให้ จะต้องมีป้ายชื่อถึงจะทำได้ แต่บรรดาพ่อครัวแม่ครัวใหญ่ที่โรงครัวของเรือนชั้นนอกเหล่านั้นแต่ละคนต่างมีสมุดบัญชีอยู่ในใจกันทุกคน ขอเพียงเป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่อยู่ในบัญชีนั้น พ่อครัวแม่ครัวใหญ่เหล่านั้นก็ล้วนแล้วแต่ยินดีที่จะทำเรื่องต่างๆ ให้คุณหนูรองที่ ‘อาศัยอยู่ใต้ชายคา’ จวนหลักผู้นี้เป็นอย่างยิ่ง
ถึงเวลานั้นนางเพียงบอกไปว่าตนอยากจะแสดงความกตัญญูต่อฮูหยินผู้เฒ่ากัว ไม่สิ ตอนนี้ต้องเปลี่ยนเป็นบอกว่าต้องการแสดงความกตัญญูต่อท่านน้าฉือ ให้ชุนหว่านนำเงินไปให้คนที่โรงครัวทำขนมแป้งข้าวนึ่งมาขึ้นโต๊ะสักจานหนึ่ง ยังไม่เคยมีใครที่โรงครัวเข้มงวดขนาดนั้นมาก่อน
ต่อให้หลังจบเรื่องแล้วมีคนถามขึ้นมา นางมีฮูหยินผู้เฒ่ากัวเป็นคนหนุนหลังอยู่ พ่อครัวแม่ครัวใหญ่เหล่านั้นโดยมากก็น่าจะปิดปากเงียบกันหมด
เพียงแต่ว่าหากเป็นเช่นนี้แล้วเกรงว่าชื่อเสียงของนางท่ามกลางบ่าวรับใช้ทั้งหลายคงจะไม่ค่อยดีแล้ว
แต่ก็มิใช่ว่าจะไม่มีทางออก
ตอนจัดรายการอาหารก็แค่เพิ่มเข้าไป
เช่นนี้ผู้อื่นก็จะเข้าใจว่าขนมแป้งข้าวนึ่งสองจานนั้นถูกนำมาขึ้นโต๊ะพร้อมกันโดยบังเอิญเท่านั้น
โจวเสาจิ่นรู้สึกว่าความคิดนี้ดียิ่งนัก
นางเล่าความคิดนี้ของตัวเองให้เฉิงฉือฟังอย่างแทบจะทนรอไม่ไหว
ในที่สุดเด็กน้อยผู้นี้ก็รู้จักใช้สมองขบคิดแล้ว
ในดวงตาของเฉิงฉือมีแววพึงพอใจ กล่าวยิ้มๆว่า “ไม่เลวๆ! เห็นได้ชัดว่าหยกนั้นหากไม่แกะสลักก็ใช้การไม่ได้!”
โจวเสาจิ่นหน้าแดง แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน กล่าวเสียงสูงว่า “นั่นก็เพราะว่าทำตามความคิดของท่านอย่างไร!”
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เดี๋ยวนี้ยิ่งอยู่นางก็ยิ่งไม่อยากให้เฉิงฉือมองนางเป็นเด็กน้อยอีกแล้ว
เฉิงฉือย้ำเตือนนางว่า “เจ้าไปยุยงอู๋ซื่อผู้นั้นเป็นการส่วนตัวก็พอ อย่าให้ผู้อื่นเห็น ถ้าคิดว่าทำไม่ได้ ก็ไปปรึกษาฝานหลิวซื่อแม่นมของเจ้าผู้นั้น ข้าเห็นนางค่อนข้างมีไหวพริบเวลาอยู่กับผู้อื่น แล้วก็จะได้ทดสอบนางด้วยพอดีว่าเป็นที่พึ่งได้หรือไม่”
แน่นอนว่าฝานหลิวซื่อเป็นคนที่พึ่งพาได้ที่สุดแล้ว!
โจวเสาจิ่นพยักหน้ายิ้มๆ จากนั้นก็ขมวดคิ้วมุ่นพร้อมกับกล่าวขึ้นอย่างเป็นกังวลว่า “แต่ว่า พี่ชายเก้าแต่งงานในวันที่สิบเดือนเก้า ฮูหยินผู้เฒ่าบอกว่า เทศกาลเก้าคู่ของปีนี้ทุกคนไม่ต้องมารวมกันแล้ว ให้แต่ละจวนฉลองของตัวเองไป จึงจัดการเรื่องนี้ในวันเทศกาลเก้าคู่ไม่ได้แล้วเจ้าค่ะ…แล้วข้าก็กำลังเป็นกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่พอดี วันนั้นเป็นวันคล้ายวันเกิดของฮูหยินผู้เฒ่า ฮูหยินผู้เฒ่าไม่อยากให้กดทับงานของพี่ชายเก้า นางจึงไม่เฉลิมฉลองวันเกิดในปีนี้แล้ว ยังให้ข้าไปช่วยงานที่เรือนเจียซู่ตั้งแต่เช้าอีกด้วย ท่านว่าตอนเช้าพวกเรากินบะหมี่อายุยืนกับฮูหยินผู้เฒ่ากัวแล้วค่อยออกไปหรือว่าตอนเย็นค่อยกลับมาจัดงานฉลองวันเกิดให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวดีเจ้าคะ วันแต่งงานจริงคือวันที่สิบ คาดว่าเย็นวันที่เก้าพวกเราน่าจะกลับเร็วได้เจ้าค่ะ!”
เฉิงฉือฟังนางพูดเจื้อยแจ้ว รู้สึกว่าห้องหนังสือที่เงียบเชียบดูมีชีวิตชีวาขึ้นมา
เขาอดไม่ได้กล่าวยิ้มๆ ว่า “เช่นนั้นตื่นขึ้นมาตอนเช้าพวกเรากินบะหมี่อายุยืนเป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่าก่อนแล้วค่อยไปที่เรือนเจียซู่ ตอนกลับมาช่วงเย็นก็ค่อยจัดงานเลี้ยงฉลองให้ฮูหยินผู้เฒ่าอีกครั้ง ให้คนที่บ้านได้สนุกสนานกันเองก็พอ”
ถึงตอนนั้นผลสอบของการสอบขุนนางช่วงสารทฤดูก็คงประกาศออกมาแล้ว งานแต่งระหว่างตระกูลเฉิงกับตระกูลหมิ่นก็น่าจะกำหนดลงมาแล้วเช่นกัน ประจวบเหมาะกับที่เขาส่งหยวนซื่อและเฉิงสวี่ไปจิงเฉิงพอดี เด็กน้อยก็จะได้นั่งกินข้าวอย่างสบายใจสักมื้อหนึ่ง
โจวเสาจิ่นยิ้มตาหยีพร้อมกับพยักหน้าติดๆ กันไม่หยุด ขยับเข้าไปใกล้เบื้องหน้าของเฉิงฉืออย่างระมัดระวัง กระซิบกล่าวเสียงเบาว่า “ท่านน้าฉือ ท่านเตรียมของขวัญอะไรให้ฮูหยินผู้เฒ่าหรือเจ้าคะ”
เฉิงฉือเห็นแล้วก็นึกสนุก ก้มหน้าลงอย่างระมัดระวังเลียนแบบท่าทางของนาง กระซิบกล่าวว่า “ข้าบอกเจ้าไม่ได้หรอก! หากข้าบอกเจ้า แล้วเจ้าไปซื้อของขวัญให้ฮูหยินผู้เฒ่าเลียนแบบข้า แล้วนำไปมอบให้ฮูหยินผู้เฒ่าก่อนข้า ข้าจะทำอย่างไร”
โจวเสาจิ่นกะพริบตาปริบๆ ถึงได้เข้าใจว่าเฉิงฉือกำลังหยอกเย้านางเล่นอยู่
ใจของนางลิงโลดขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ กระซิบกล่าวน้ำเสียงออดอ้อนว่า “ท่านน้ากลัวว่าข้าจะขโมยความคิดของท่านอย่างนั้นหรือเจ้าคะ”
เฉิงฉือกำลังจะอ้าปากพูด ชิงเฟิงก็เข้ามารายงานว่า “นายท่านสี่ คุณชายใหญ่มาขอรับ บอกว่ามีเรื่องด่วนต้องการพบท่าน”
โจวเสาจิ่นตะโกนอยู่ในใจไม่หยุดว่า เกลียด
เวลานี้จึงไม่อาจคุยกับท่านน้าฉือต่อแล้ว!
สีหน้าของนางเคร่งขรึมขึ้น ไม่รอให้เฉิงฉือเอ่ยปากก็กระโดดพรวดขึ้นมา กล่าวขึ้นว่า “เช่นนั้นข้าไปก่อนนะเจ้าคะ!” จากนั้นก็วิ่งออกจากประตูหลังไปอย่างรวดเร็ว
เฉิงฉือมองแล้วก็หัวเราะพร้อมกับส่ายศีรษะไม่หยุด


VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน