เฉิงสวี่คิดว่าตัวเองรู้
เฉิงลู่พึงใจโจวเสาจิ่น แต่โดยการจัดเตรียมของผู้ใหญ่แล้วโจวเสาจิ่นกลับต้องแต่งให้เฉิงอี้ เฉิงลู่ร้อนใจ ถึงได้มาหาเขาเพื่อร่ำสุราและบอกเขา
แต่คำพูดเหล่านี้เขาไม่อาจบอกเฉิงฉือได้
อารมณ์ของเฉิงฉือเป็นสิ่งที่ไม่มีใครคาดเดาได้มาโดยตลอด เขาไม่อาจมั่นใจว่าเฉิงฉือจะยืนอยู่ข้างเดียวกับเขา
เขาก้มศีรษะลงต่ำมากยิ่งขึ้น พึมพำกล่าวว่า “ท่านอาสี่ ที่ข้ามาหาท่าน ก็เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ขอรับ! ข้าฟังจากน้ำเสียงของท่านแม่แล้ว ท่านพ่ออยากให้ข้าแต่งกับบุตรสาวของตระกูลหมิ่นที่ฝูเจี้ยน…”
เฉิงฉือมองเฉิงสวี่อย่างตั้งใจ ทันใดนั้นรู้สึกไม่อยากฟังเฉิงสวี่พูดต่อไปอีก
บางเรื่อง สิ่งที่รู้กับที่พูดออกมาเป็นคนละเรื่องกัน
เฉิงสวี่ชอบโจวเสาจิ่น ไม่อยากแต่งกับหญิงสาวของตระกูลหมิ่น เรื่องนี้เขารู้ดี แต่เขาไม่อยากถกปัญหานี้กับเฉิงสวี่ ยิ่งไม่อยากใช้ตำแหน่งอาไปช่วยตัดสินปัญหานี้ให้เฉิงสวี่
เขาจึงตัดบทคำพูดเฉิงสวี่ในทันที กล่าวเสียงเคร่งว่า “ข้าถามเจ้าว่า เจ้ารู้เจตนาของเฉิงลู่หรือไม่”
น้ำเสียงของเฉิงฉือเย็นชาไร้ความรู้สึก เฉิงสวี่เงยหน้าขึ้นมาอย่างตกตะลึง
“เจ้าเป็นคนมียศมีตำแหน่งแล้ว แต่เหตุใดคำพูดและการกระทำกลับไม่มีความรอบคอบเสมือนเป็นเด็กที่ยังไม่ได้เรียนหนังสือก็ไม่ปาน!” เฉิงฉือกล่าวตำหนิเขาอย่างไม่ยอมอ่อนข้อให้ “หากไร้ซึ่งเหตุและผล เฉิงลู่จะมาเอ่ยเรื่องของคุณหนูรองตระกูลโจวต่อหน้าเจ้าทำไม เจ้าไม่คิดจะใช้สมองขบคิดสักหน่อยเลยหรือ เจ้าคงไม่คิดว่าเขาทำไปเพราะเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ของหนุ่มสาวหรอกกระมัง”
ไม่ใช่อย่างนั้นหรือ!
เฉิงสวี่มองเฉิงฉือ สีหน้าดูสับสนงงงวยเล็กน้อย
พี่ชายใหญ่ให้กำเนิดบุตรชายเช่นนี้มาผู้หนึ่ง!
เฉิงฉือรู้สึกอนาถใจ ยิ้มเย็นพลางกล่าวขึ้นว่า “เฉิงลู่แอบหนีกลับมาจากสำนักศึกษาเย่ว์ลู่ เจ้ารู้สาเหตุหรือไม่”
“ทราบขอรับ” เฉิงสวี่กล่าวเสียงเบา “เขาบอกว่ามารดาไม่สบาย…”
“ความกตัญญูรู้คุณมาก่อนทุกเรื่องทั้งหมด” เฉิงฉือกล่าว “ต่อให้เป็นหัวหน้าขุนนางในราชสำนักเมื่อมารดาป่วยเสียชีวิตก็ต้องกลับบ้านมาเพื่อไว้ทุกข์ สำนักศึกษาเย่ว์ลู่เป็นหนึ่งในสี่สำนักศึกษาที่ใหญ่ที่สุดในราชวงศ์ปัจจุบัน สอนหลักคำสอนของข่งเมิ่ง[1] หากมารดาของเขาป่วย สำนักศึกษาจะไม่อนุญาตให้เขากลับมาดูแลได้อย่างไร!”
เฉิงสวี่พลันตะลึงงัน
แค่เขาได้ยินว่าโจวเสาจิ่นต้องแต่งให้เฉิงอี้ก็ร้อนใจแล้ว ไหนเลยจะมีอารมณ์ไปพิจารณาเรื่องเล็กน้อยเหล่านั้น!
เฉิงฉือจึงรู้ว่าเขาเป็นคนที่ลุ่มหลงในความรัก กล่าวขึ้นว่า “คุณหนูรองตระกูลโจวกำลังจะหมั้นหมายกับเฉิงอี้ ถ้าหากว่าข่าวคราวที่เจ้าให้พี่สะใภ้ใหญ่ไปขัดขวางการแต่งงานในครั้งนี้ถูกเผยแพร่ออกไป เจ้าลองพูดมา ว่าคุณหนูรองตระกูลโจวจะเป็นอย่างไร”
คงจะถูกผู้คนด่าว่าเป็นสตรีหลายใจ! เป็นนางจิ้งจอกล่อลวงบุรุษ! กระทั่งอาจจะมีข่าวลือว่ามีพฤติกรรมน่ารังเกียจเผยแพร่ออกมาได้
มีเหงื่อผุดออกมาบนหน้าผากของเขา
เฉิงฉือกล่าว “คุณหนูรองตระกูลโจวอาจถูกส่งตัวกลับไปที่เมืองเป่าติ้ง”
หากเป็นเช่นนั้น เฉิงลู่ก็จะมีโอกาสไปสู่ขอโจวเสาจิ่น
เขาหลงเชื่อคำพูดของเฉิงลู่ไปได้อย่างไร
เฉิงสวี่ทั้งเสียใจและโกรธเกลียด อยากจะวิ่งไปหาเฉิงลู่ที่ตรอกฉุนอี้เพื่อถามว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไรกันแน่เสียเดี๋ยวนี้
เขากล่าวกับเฉิงฉือเสียงแหบพร่าว่า “ท่านอาสี่ ท่านไม่ต้องพูดแล้วขอรับ ข้ารู้ว่าข้าถูกหลอกเข้าให้แล้ว เฉิงลู่ผู้นั้นยังไม่ถอดใจจากคุณหนูรองตระกูลโจว ดังนั้นถึงได้คิดแผนยิงปืนนัดเดียวได้นกตัวนี้ขึ้นมา…”
กล่าวไปกล่าวก็ยังคงเป็นเรื่องหึงหวงชิงรักหักสวาทอยู่ดี!
เฉิงฉือหลับตา ทันใดนั้นก็นึกถึงคำที่แม่นมกล่าวขึ้นมาตอนเป็นเด็กประโยคหนึ่งที่ว่า ช่างเปล่าประโยชน์ประหนึ่งส่งสายตาให้คนตาบอดดู!
เขาไม่มีอารมณ์จะพูดต่อแล้ว
หลังจากที่ค้นพบว่าคนที่ไปเป่าหูเจ้าเมืองอู๋คือตนแล้ว เฉิงลู่ผู้นั้นคงคิดว่าเป็นโจวเสาจิ่นมาพูดให้ร้ายต่อหน้าเขา ก็เลยคิดจะกำจัดโจวเสาจิ่นออกไปจากซอยจิ่วหรู หนึ่งเพื่อหลีกเลี่ยงมิให้โจวเสาจิ่นมาพูดให้ร้ายต่อหน้าเขาอีก และสองเพื่อเปิดโปงเรื่องที่เฉิงสวี่พึงใจโจวเสาจิ่น ให้จวนหลักระมัดระวังโจวเสาจิ่น หลังจากที่ส่งโจวเสาจิ่นออกจากจวนไปแล้วเขากับนางก็จะค่อยๆ เหินห่างกันไป เช่นนี้ไม่ว่าเฉิงลู่จะแก้แค้นโจวเสาจิ่น หรือว่าจะจับโจวเสาจิ่นให้มั่นก่อนแล้วมาต่อรองกับตน ล้วนดีกว่าการที่โจวเสาจิ่นอาศัยอยู่ที่จวนหลักตลอดโดยไม่ออกไปไหนเลยเช่นนี้
ในใจของเฉิงฉือเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า
เขาโบกมือ กล่าวกับเฉิงสวี่ว่า “เจ้าไปคิดให้ถี่ถ้วนว่าที่ข้าพูดมานั้นถูกต้องหรือไม่” กล่าวจบ ก็ก้าวยาวๆ ออกไปจากห้องหนังสือโดยไม่หันกลับมาอีกเลย
เฉิงสวี่เบิกดวงตาโพลง ผ่านไปครู่ใหญ่แล้วก็ยังไม่สติคืนกลับมา
นี่ท่านอาสี่เป็นอะไรขึ้นมาอีกแล้ว
ก่อนหน้านี้ยังพูดดีๆ อยู่เลย แต่ชั่วครู่เดียวกลับสะบัดแขนเสื้อออกไปแล้ว…ไม่แปลกที่พวกท่านอาอี๋ต่างพูดกันว่าท่านอาสี่เป็นคนอารมณ์แปลกประหลาด!
เขานั่งอยู่บนเก้าอี้มีเท้าแทนอย่างโกรธเกรี้ยว ขณะคิดถึงเรื่องงานแต่งงานของตัวเอง
ถึงแม้มารดาจะบอกว่าเรื่องที่ให้เขาแต่งกับสตรีของตระกูลหมิ่นนั้นเป็นความคิดของบิดา แต่เขาก็ไม่เชื่อ
ความนึกคิดของบิดาล้วนอยู่ที่งาน ส่วนเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในบ้านทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับมารดา เรื่องที่ให้เขาแต่งกับสตรีของตระกูลหมิ่นนั้น ต้องเป็นความคิดของมารดาอย่างแน่นอน เพียงแต่ได้รับการเห็นชอบจากบิดาก็เท่านั้น
เดิมทีเขาอยากจะขอให้ท่านอาสี่ช่วยออกหน้าไปพูดกับหมิ่นเจี้ยนสิง ให้ตระกูลหมิ่นยอมวางมือจากเรื่องงานแต่งนี้ด้วยตัวเอง
แต่ตอนนี้ดูทีแล้ว คงไม่อาจขอร้องท่านอาสี่ได้ง่ายๆ นอกจากนี้ท่านอาสี่ยังไม่พอใจที่เขาไปทำลายงานแต่งของโจวเสาจิ่นกับเฉิงอี้เป็นอย่างมากอีกด้วย
กลัวแต่ว่ากว่าเขาจะขอร้องท่านอาสี่ได้ โจวเสาจิ่นก็คงจะแต่งกับผู้อื่นไปแล้ว!
ณ ขณะนั้น จู่ๆ เฉิงสวี่ก็คิดถึงเฉิงลู่ขึ้นมา
ต่อให้เฉิงลู่จะมีเจตนาให้โจวเสาจิ่นอยู่ที่ซอยจิ่วหรูต่อไปไม่ได้ แต่นั่นก็เป็นเพราะเขาพึงใจโจวเสาจิ่น ทว่าไม่มีความสามารถพอจะแข่งขันกับเขา จึงคิดจะยุให้เขากับเฉิงอี้ขัดแย้งกัน แล้วเขาก็ฉวยโอกาสเป็นตาอยู่มาจับปลาไปก็เท่านั้น
กล่าวไปกล่าวมา ก็เพียงเพราะอยากได้ตัวโจวเสาจิ่นไปก็เท่านั้น
ไม่อย่างนั้นเขาก็คงไม่อาจดันเรือให้ลอยไปตามน้ำได้!
คำพูดเหล่านี้เขาควรไปบอกท่านอาสี่หรือไม่
เฉิงสวี่อยู่ที่เรือนหลีอินเป็นเวลานาน รอแล้วรอเล่าเฉิงฉือก็ไม่กลับมา



VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน