โจวเสาจิ่นได้ยินแล้วหัวเราะไม่หยุด ตอบไปว่า “ถ้าหากท่านน้าฉือตำหนิเจ้า เจ้าก็ไปเมืองเป่าติ้งกับข้าก็แล้วกัน!”
จี๋อิ๋งประหลาดใจ เอ่ยถามขึ้นว่า “เจ้าจะกลับเมืองเป่าติ้งหรือ”
โจวเสาจิ่นพยักหน้า พลางกล่าวว่า “เรื่องมาถึงจุดนี้แล้ว ต่อให้เฉิงสวี่ล่วงเกินข้าโดยไม่เจตนา หากเกิดข่าวลือแพร่ออกไปก็คงไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก”
จี๋อิ๋งได้ยินนางเรียกชื่อของเฉิงสวี่ตรงๆ แล้ว ก็รู้ว่านางไม่หลงเหลือความรู้สึกดีๆ อันใดต่อเฉิงสวี่อีกแล้ว จึงอดทอดถอนใจไม่ได้ พลางปลอบโยนนางว่า “นายท่านสี่อยู่ที่นั่นด้วย ย่อมไม่ปล่อยให้เรื่องนี้แพร่งพรายออกไปอย่างแน่นอน”
โจวเสาจิ่นก็เชื่ออย่างนั้น กล่าวว่า “แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้นแล้วอย่างไร หยวนซื่อจะมองข้าด้วยสีหน้าที่ดีได้อยู่หรือ ด้านหนึ่งเป็นข้า อีกด้านหนึ่งเป็นเฉิงสวี่ ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจะไม่รู้สึกลำบากใจได้หรือ แล้วยังมีท่านน้าฉืออีก จะให้เขาเกิดความหมางบาดกับท่านลุงใหญ่จิงเหตุเพราะข้าได้อย่างไร!”
นี่ก็นับว่าเป็นเรื่องจริง
จี๋อิ๋งตอบว่า “ข้าคงไปเมืองเป่าติ้งกับเจ้าไม่ได้หรอก เว้นเสียแต่ว่านายท่านสี่จะอนุญาต…”
โจวเสาจิ่นจึงขยิบตาให้นางอย่างหยอกเย้า กล่าวขึ้นว่า “ข้าหมายความว่าหากเจ้าไม่มีที่ไป ก็ไปอยู่กับข้าที่นั่น ไม่ว่าจะกล่าวอย่างไร ท่านพ่อของข้าก็เป็นขุนนางที่ได้รับการแต่งตั้งโดยราชสำนัก ขอเพียงเจ้าไม่ก้าวออกไปที่ไหน ใครจะกล้าบุกไปจับเจ้าถึงจวนเจ้าเมืองได้!”
จี๋อิ๋งหัวเราะ พลางกล่าวว่า “หากว่าศิษย์พี่ของข้าได้ยินเจ้าพูดเช่นนี้ล่ะก็ จะต้องดีใจแย่แน่ๆ”
“เจ้ายังมีศิษย์พี่ด้วยหรือ” โจวเสาจิ่นเอ่ยถามอย่างดีใจ “เขามีหน้าตาเช่นไร อายุเท่าไร ทำอะไร แต่งงานแล้วหรือยัง…” น้ำเสียงประหนึ่งเป็นแม่สื่อ
จี๋อิ๋งถามอย่างฉงนว่า “นี่เจ้าต้องการทำอะไรหรือ”
“ไม่มีอะไรๆ” โจวเสาจิ่นหัวเราะคิกคัก คิดว่าระหว่างจี๋อิ๋งกับเจียวจื่อหยางผู้นั้นเป็นไปไม่ได้แล้ว ทว่าอายุของจี๋อิ๋งกลับมากขึ้นทุกๆ ปี ต้องรีบหาสามีสักคนหนึ่งให้ได้โดยเร็วที่สุดถึงจะถูก
ทั้งสองคนพูดคุยเรื่องสัพเพเหระอยู่ในห้องน้ำชา
ภายในห้องหลังฉากกั้นของฮูหยินผู้เฒ่ากัว เฉิงสวี่ดื่มยาของท่านหมอโจวแล้วก็ผล็อยหลับไป
หยวนซื่อนั่งอยู่ที่หัวเตียง จับมือของเฉิงสวี่เอาไว้ด้วยดวงตาแดงก่ำ มองดวงหน้าของเฉิงสวี่ที่สะบักสะบอมจนแยกโฉมหน้าไม่ออกพลางสะอื้นกล่าวว่า “ถ้าหากเจียซ่านเสียโฉมไปล่ะก็ ต่อไปจะทำอย่างไรเจ้าคะ ต่อให้ข้าต้องสู้จนชีวิตจะหาไม่ ก็ไม่มีทางปล่อยให้อีกฝ่ายได้อยู่ดีเป็นแน่…”
ทว่าถ้อยคำของนางยังไม่ทันสิ้นเสียง ฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็ตบหน้านางดัง เพียะ
เสียงตบดังลั่นห้องหลังฉากกั้นที่เงียบสงบ นอกจากหยวนซื่อจะตกตะลึงแล้ว แม้แต่บ่าวรับใช้ภายในห้องก็อึ้งงันกันไปหมดด้วย
ผ่านไปครู่หนึ่ง หยวนซื่อถึงได้คืนสติกลับมา เอามือกุมหน้าพลางมองฮูหยินผู้เฒ่ากัวอย่างเหลือเชื่อ ร้องพึมพำว่า “ท่านแม่” แล้วกล่าวอย่างเสียใจว่า “ลูกสะใภ้ทำอะไรผิดหรือเจ้าคะ ทำไมท่านถึงทำเช่นนี้กับข้า ต่อไปท่านจะให้ข้าเป็นคนอยู่ได้อย่างไร…”
สื่อมามาและคนอื่นๆ ก็ได้สติแล้วเช่นกัน ไม่รอให้ผู้ใดมาสั่ง ต่างกระวีกระวาดออกจากห้องหลังฉากกั้นไปทีละคน
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยิ้มเย็นอย่างดูแคลน “เจ้าคิดว่าสภาพของเจ้าตอนนี้ดูดีนักหรือไร ออกไปข้างนอกแล้วจะควบคุมผู้อื่นได้อย่างนั้นหรือ! เดิมทีข้าคิดว่าเจ้าเองก็เป็นยายคนแล้ว ทั้งยังทุ่มเทดูแลเจ้าใหญ่สองพ่อลูกมาตลอด รอยตำหนิเพียงรอยเดียวมิอาจดับราศีของหยกได้ นอกจากนี้เรื่องการสั่งสอนบุตรชายหญิงก็เป็นความรับผิดชอบของพวกเจ้าผู้เป็นบิดามารดา ข้าจึงไม่อยากสอดมือเข้าไปยุ่ง อย่างไรวันหนึ่งข้างหน้าครอบครัวนี้ก็ต้องมอบให้เจ้าดูแลอยู่ดี แต่ข้านึกไม่ถึงเลยว่า เจ้าไม่เพียงเห็นแก่ตัวและดูถูกผู้ที่ต่ำกว่าเท่านั้น ยังมีจิตใจคับแคบและมองการณ์ตื้นเขินอีกด้วย! มิน่าบิดาของเจ้าเป็นถึงบัณฑิตหลวงในราชสำนัก ทว่าสุดท้ายผู้ที่ได้รับแต่งตั้งเข้าสู่ราชสำนักจากตระกูลของพวกเจ้ากลับเป็นหยวนเหวยชางจากบ้านห้า บรรดาพี่ชายน้องชายของเจ้านั้นไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล่าเรียนหรือการรับราชการล้วนมีประสบการณ์ที่สามัญธรรมดาทั้งสิ้น ไม่อาจใช้การอะไรได้…”
หยวนซื่อถูกพูดแทงใจดำ
ดวงหน้าของนางถอดสี อ้าปากพะงาบๆ ผ่านไปครู่ใหญ่ก็มิได้เอ่ยคำใดออกมาแม้ประโยคเดียว
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวปรายตามองหยวนซื่ออย่างดูแคลนครั้งหนึ่ง
ตอนแรกผู้ที่นางพึงใจคือน้องสาวร่วมอุทรของหยวนเหวยชาง ทว่าเฉิงจิงกลับพึงใจหยวนซื่อ นางเองเป็นคู่สามีภรรยาที่รักใคร่ปรองดองกัน จึงปรารถนาให้พวกบุตรชายหญิงมีคู่ชีวิตที่รักใคร่กลมเกลียวเฉกเช่นฉินกับเส้อที่สอดประสานกันเช่นเดียวกัน อีกทั้งเห็นว่าการวางตัวของหยวนซื่อก็สุภาพเรียบร้อย คิดว่าหากมีตนคอยขัดเกลาและอบรมสั่งสอน ก็คงจะไม่ย่ำแย่ถึงเพียงนั้น ช่วงแรกๆ ทุกอย่างล้วนดียิ่ง ทว่าหลังจากที่หยวนซื่อล่วงรู้ว่าผู้ที่ตนพึงใจในตอนแรกสุดคือน้องสาวแท้ๆ ของหยวนเหวยชางแล้ว นางก็ค่อยๆ กลายเป็นคนคิดหมกมุ่นอยู่แต่เรื่องยศตำแหน่งในราชสำนัก นอกจากนางจะปรารถนาให้สามีของตนเข้าสู่ราชสำนักให้ได้แล้ว ยังตั้งมั่นว่าจะปั้นบุตรชายให้เป็นขุนนางใหญ่คนหนึ่งอีกด้วย
ใครบ้างไม่เคยมีความคิดเช่นนี้
หากว่าความคิดเช่นนี้ผลักดันให้คนขวนขวายหาความก้าวหน้าได้ละก็ ทำไมจะมีไม่ได้
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็พอจะเข้าใจความคิดของบุตรสะใภ้ จึงหลับตาข้างหนึ่งลืมตาข้างหนึ่งให้กับสิ่งที่นางกระทำ
แต่นึกไม่ถึงเลยว่ายิ่งเดินนางกลับยิ่งออกนอกเส้นทางไปไกล!
นางก็โทษตนเองด้วยเช่นเดียวกัน
หากมิใช่เพราะตนทุ่มเทความสนใจทั้งหมดไปที่บุตรชายคนเล็ก ตนคงจะสังเกตเห็นมานานแล้วว่าหยวนซื่อเปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนเป็นอย่างมาก!
นึกถึงตรงนี้ ฮูหยินผู้เฒ่ากัวอดหลับตาลงไม่ได้ บอกไม่ได้ว่าในใจรู้สึกเจ็บปวดหรือเสียใจมากกว่ากัน
นางเอ่ยขึ้นอย่างเย็นชาว่า “จวนหลักทั้งหมดก็มีกันอยู่ไม่กี่คนแค่นี้ เรื่องทั้งหมดก็มีเพียงแค่นี้ เจ้าใหญ่รับราชการอยู่ที่จิงเฉิง แต่เหตุใดข้าถึงเรียกเจ้ากลับมา เจ้าไม่เข้าใจอย่างนั้นหรือ”
หยวนซื่อมองฮูหยินผู้เฒ่ากัวอย่างตกตะลึง
“ตอนนี้เยี่ยอี้ผู้เป็นน้องเขยของขุนนางใหญ่หยวนดำรงตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการศาลต้าหลี่แล้วกระมัง” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวเบาๆ “ในปีนั้นตอนที่เจ้าใหญ่ดำรงตำแหน่งเป็นขุนนางเส่าชิงประจำศาลต้าหลี่นั้น เขายังเป็นเพียงบัณฑิตสำนักฮั่นหลินผู้หนึ่งอยู่กระมัง น้องสาวร่วมอุทรของขุนนางใหญ่หยวนพาลูกๆ เข้าเมืองหลวงเพื่อดูแลปรนนิบัติสามี เจ้าพาเจียซ่านไปเป็นแขกที่ตระกูลเยี่ย ฮูหยินเยี่ยเห็นเจียซ่านมีฟันขาวสะอาดและริมฝีปากแดงฉ่ำ อายุยังน้อยแต่ก็พูดจาฉะฉานแล้ว จึงอยากจะทาบทามบุตรสาวคนโตของตระกูลให้เจียซ่าน เพื่อเกี่ยวดองกระชับความสัมพันธ์กับเจ้าให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น แล้วเจ้าปฏิเสธฮูหยินเยี่ยไปอย่างไร เจ้าคงยังจำได้กระมัง”
หยวนซื่อก้มหน้าลง



VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน