ผู้คนในโถงนั่งเล่นต่างมองหน้ากันและกัน
ตามคำบอกเล่าของชุนหว่าน เรื่องที่เกิดขึ้นในโพรงหินนั้นมิใช่ว่าไม่เกี่ยวข้องกับโจวเสาจิ่นแต่อย่างใดเลยหรอกหรือ
จู่ๆ เฉิงอี๋ก็รู้สึกเดือดเนื้อร้อนใจขึ้นมา
ไม่ง่ายเลยกว่าที่พวกเขาจะคว้าโอกาสนี้มาได้ จะให้เฉิงสวี่หลุดรอดไปต่อหน้าต่อตาพวกเขาได้อย่างไร
เฉิงอี๋ทนไม่ได้ เอ่ยถามชุนหว่านด้วยน้ำเสียงร้อนรนว่า “เหตุใดจี๋อิ๋งต้องชกต่อยกับเฉิงสวี่ด้วย”
ชุนหว่านเล่าไปตามที่ซางมามาบอกนางมา “คุณหนูเจียนัดคุณหนูรองของพวกข้าไปเยี่ยมสะใภ้ใหญ่เก้าที่เพิ่งแต่งเข้ามาด้วยกัน คุณหนูรองกลัวว่าคุณหนูเจียจะรอนานแล้วเป็นกังวล จึงคิดจะเดินลัดจากทางนี้ไป ผู้ใดจะรู้ว่าตอนที่พวกข้าเดินเข้าโพรงหินไปก็พบแม่นางจี๋อิ๋งกำลังทุบตีคุณชายใหญ่สวี่อยู่… คุณหนูรองพยายามห้ามปรามไปหลายประโยคแต่ก็ห้ามไม่อยู่ ซ้ำยังเกือบจะโดนหมัดของคุณชายใหญ่สวี่ชกเข้าใส่อีกด้วย ข้าจึงได้แต่กันคุณหนูรองเอาไว้ข้างหลัง… คุณหนูรองกำลังจะบอกให้ข้าไปเรียกคนมา สะใภ้ใหญ่นั่วก็โผล่มาพอดี จากนั้นก็กรีดร้องเสียงดัง ทำให้นายท่านกับคุณชายใหญ่ทั้งหลายตื่นตระหนกกันหมดเจ้าค่ะ…”
หากเป็นเช่นนี้ ก็จะไม่เกี่ยวอะไรกับโจวเสาจิ่นแล้ว!
คนของจวนสี่รู้สึกโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง
ทว่าเฉิงอี้กลับดูอึดอัดใจเล็กน้อย
เขาเคยถูกจี๋อิ๋งทุบตี
เพราะตนไปหลงใหลในความงดงามของนาง
หรือว่าเฉิงสวี่ก็…
เฉิงอี้มุมปากกระตุกอย่างห้ามไม่อยู่
ทว่านัยน์ตาของเฉิงสือกลับฉายแววตะลึงสายหนึ่ง
จนถึงตอนนี้ เขายังไม่เข้าใจว่าเรื่องราวกลายเป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไร
แต่เขากระจ่างแจ้งอยู่แก่ใจดีว่า เกรงว่าครั้งนี้เฉิงสวี่คงจะพลิกสถานการณ์ได้อย่างสิ้นเชิงเป็นแน่แล้ว กล่าวคือ กินของบางอย่างที่คล้ายผงห้าศิลาเข้าไปแล้วล่วงเกินสาวใช้ที่เดินผ่านทางมาคนหนึ่งกับล่วงเกินญาติที่มาอาศัยอยู่ในตระกูลของพวกเขานั้นถือเป็นคนละเรื่องกันอย่างสิ้นเชิง!
อย่างแรกเพียงแค่ไม่ได้สติแล้วไปล่วงเกินโดยไม่รู้ตัว ทว่าอย่างหลังกลับเป็นการทำตัวหยาบโลน มีพฤติกรรมต่ำช้าเป็นที่น่าผิดหวัง
แต่ก่อนรู้เพียงว่าท่านอาสี่ท่านนี้ทำมาค้าขายเก่งกาจยิ่งนัก นึกไม่ถึงเลยว่าการจัดการเรื่องต่างๆ ก็จะทำได้อย่างแยบยลถึงเพียงนี้
เมื่อก่อนตนดูถูกเขามากเกินไปเสียแล้ว!
เขาตวัดสายตามองเฉิงฉือครั้งหนึ่ง แล้วก้มหน้าลง ยืนอย่างนอบน้อมอยู่ตรงนั้น บอกให้เชื่อฟังมากเท่าไรก็เชื่อฟังมากเท่านั้น บอกให้สำรวมมากขนาดไหนก็ทำตัวสำรวมมากเท่านั้น
ทว่านานครู่ใหญ่กว่าเฉิงเจิ้งจะได้สติคืนกลับ
ไม่แปลกเลยที่ก่อนหน้านี้เขาเสนอเงื่อนไขดีๆ ถึงเพียงนั้น แต่เนื่องจากไม่ได้รับความเห็นชอบจากท่านอาฉือ หลงจู๊รองของสิบสามห้างก่วงตงจึงไม่กล้าทำมาค้าขายกับเขา
ด้วยความสามารถในการปั้นน้ำเป็นตัวของเขานี้ ไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็เป็นคนที่ทำให้ผู้อื่นไม่กล้าสร้างความขุ่นเคืองให้ผู้หนึ่ง
หากรู้อย่างนี้แต่แรก เขาควรวางแผนให้รอบคอบกว่านี้ถึงจะถูก
อย่างไรก็ตาม เขาจัดเตรียมคนเอาไว้บนหอซื่ออี้ หากมีอะไรเปลี่ยนแปลงเขาก็ควรจะทราบทันทีถึงจะถูก ทว่าจี๋อิ๋งผู้นั้นไปโผล่ที่โพรงหินตั้งแต่เมื่อใด เขากลับไม่รู้เรื่องเลยแม้แต่น้อย
เฉิงเจิ้งนึกถึงเรื่องที่ท่านปู่ผู้ล่วงลับไปแล้วเคยลอบบอกเขา แววตาของเขาดำดิ่งลงมาอย่างอดไม่ได้
แต่ก่อน เขาเคยดูถูกท่านอาฉือท่านนี้จริงๆ
ต้องรู้ว่า จี๋อิ๋งยังเคยทุบตีเฉิงอี้มาแล้ว
ก็แค่คนรับใช้ผู้อื่นคนหนึ่งเท่านั้น เหตุใดถึงกล้าทำตัวอาจหาญได้ขนาดนี้ ก็เพราะมั่นใจว่าท่านอาฉือจะต้องปกป้องนางอย่างแน่นอนนั่นเอง
เห็นได้ชัดว่าเรื่องที่ท่านปู่กังวลใจเรื่องนั้นเป็นจริงขึ้นเสียแล้ว!
ดูแล้วเฉิงฉือคงจะควบคุมกิจการที่อยู่ในเงามืดของตระกูลส่วนนั้นไปเรียบร้อยแล้ว
จู่ๆ เขาก็รู้สึกเสียใจขึ้นมาเล็กน้อย
หากรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้แต่เนิ่นๆ เขาก็คงเลือกที่จะเล่นงานเฉิงสวี่ตอนที่เฉิงฉือไม่อยู่บ้าน
แต่เรื่องดำเนินมาถึงจุดนี้แล้ว ตอนนี้คงได้แต่ต้องหาทางแก้ไขเท่านั้น
ไม่รู้ว่าหลักฐานที่เขา ‘ค้นพบ’ อย่างง่ายดายว่าเฉิงสือลอบวางยาเฉิงสวี่นั้น จะช่วยเฉิงฉือได้บ้างหรือไม่
เฉิงเจิ้งก้มหน้าหลุบตายืนอยู่ตรงนั้น ท่าทางดูสงบเสงี่ยมและระมัดระวังกว่าเฉิงสือมาก ทว่าในใจกลับขบคิดอย่างรวดเร็ว
ตอนนี้มิใช่เวลามาพูด เรื่องที่เร่งด่วนที่สุดในตอนนี้คือค้นหาว่าเฉิงฉือต้องการทำอะไรกันแน่
เพียงต้องการกอบกู้ชื่อเสียงให้เฉิงสวี่ หรือว่าต้องการยิงธนูดอกเดียวได้นกสองตัวลากเฉิงสือของจวนรองลงน้ำไปด้วยกันนะ
ในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ เขาห้ามทำผิดพลาด โดยการไปประจบประแจงไม่ถูกที่เป็นอันขาด
ชั่วขณะนั้นแต่ละคนต่างมีความคิดที่แตกต่างกันไป ภายในโถงนั่งเล่นเงียบงัน ไม่มีเสียงเอื้อนเอ่ยใดๆ
จี๋อิ๋งที่ยืนรออยู่นอกประตูตะลึงงัน
เหตุใดสุดท้ายเรื่องถึงกลับกลายเป็นเฉิงสวี่ล่วงเกินนางไปได้!
นางรู้อยู่แล้ว ขอเพียงเรื่องมาสยบลงที่เฉิงฉือก็ไม่มีอะไรดีทั้งนั้น แต่มากลับดำเป็นขาวอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้… นี่ก็ชักจะหน้าไม่อายเกินไปหน่อยกระมัง
จี๋อิ๋งโมโหจนเส้นเลือดที่ขมับปูดโปน สาวเท้าก้าวเข้าไปในโถงนั่งเล่น
ใครจะรู้ว่าเพียงนางยกเท้าขึ้น ร่างกายกลับแข็งทื่อ ถูกไหวซานสกัดจุดเอาไว้
“จี๋อิ๋ง” ไหวซานเอ่ยขึ้นอย่างลุแก่โทษ “ขออภัย นี่เป็นคำสั่งของนายท่านสี่ พวกเราเป็นบุตรธิดาในยุทธจักร ไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ แต่คุณหนูรองตระกูลโจวเป็นหญิงสาวในห้องหอที่บอบบาง หากแปดเปื้อนด้วยเรื่องเช่นนี้อาจจะถูกผู้คนประณามไปตลอดชีวิต จึงจำต้องทำผิดต่อเจ้าแล้ว อย่างไรก็ตาม นายท่านสี่เองก็เอ่ยปากแล้วว่า หลังจากเรื่องนี้จบลงแล้ว เขาจะปล่อยตัวเจ้ากลับตระกูลจี้ ข้าคิดดูแล้ว รู้สึกว่าไม่ถือว่าเจ้าขาดทุนสักเท่าไร คราวก่อนทวดของเจ้าบอกเอาไว้มิใช่หรือว่า เขาอายุมากแล้ว บรรดาบุตรหลานแม้จะมีความสามารถและกตัญญูรู้คุณ ทว่าสิ่งเดียวที่ยังคงวางใจลงไม่ได้ก็คือเจ้า หากเจ้าไม่แต่งงานสักที เขาก็ไม่อาจหลับตาลงได้ ข้าคิดว่าหากเจ้ากลับได้ไปเร็วขึ้นสักหน่อย เขาจะต้องดีใจมากเป็นแน่”
ถุย!
จี๋อิ๋งพูดไม่ได้ จึงได้แต่จ้องไหวซานเขม็ง
ถึงกระนั้น ก็ไม่ควรให้นางเป็นแพะรับบาปนี่นา!
โจวเสาจิ่นเป็นเด็กสาว แล้วนางมิใช่เด็กสาวหรืออย่างไร โจวเสาจิ่นแปดเปื้อนด้วยเรื่องเช่นนี้แล้วจะถูกผู้อื่นประณาม แล้วนางไม่ต้องกลัวถูกผู้อื่นประณามหรืออย่างไร
เฉิงจื่อชวนไอ้สารเลว จิตใจจะเอนเอียงเกินไปหน่อยแล้วกระมัง!
รอให้นางเป็นอิสระเสียก่อน จักต้องแทงเฉิงจื่อชวนให้ตายในดาบเดียวให้ได้!
จี๋อิ๋งโกรธเกรี้ยวจนขนลุกชัน
ไหวซานได้แต่ยิ้มเจื่อนอยู่ข้างๆ
จึงได้ยินเฉิงหลูกระแอมไอเบาๆ ครั้งหนึ่งมาจากในโถงนั่งเล่นที่ประตูเปิดอ้าเอาไว้ทั้งสี่บาน กล่าวขึ้นว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ น้องชายฉือ มิใช่ว่าข้าจะต่อว่าเจ้าด้วยฐานะของญาติผู้พี่ แต่คนในเรือนของเจ้า ก็ควรจะควบคุมให้ดี คราวก่อนเป็นอี้เกอเอ๋อร์ คราวนี้เป็นสวี่เกอเอ๋อร์ ใครจะรู้ว่าคราวหน้าจะถึงคราวของผู้ใดอีก บ่าวที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงเช่นนี้ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ดี หากว่าบ่าวไพร่คนอื่นๆ เอาเป็นเยี่ยงอย่างขึ้นมา มิใช่ว่ากฎระเบียบในจวนนี้จะหย่อนยานไปหมดแล้วหรอกหรือ…”
ดวงหน้าของเฉิงอี้ร้อนผะผ่าว ชำเลืองมองเฉิงหลูอย่างโกรธขึ้งครั้งหนึ่ง
จะพูดถึงเฉิงสวี่ก็พูดถึงแต่เฉิงสวี่ก็พอ เหตุใดต้องโยงมาถึงตัวเขาด้วย

VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน