เฉิงฉือไม่อาจขยับเขยื้อนไปชั่วขณะ
เดิมทีโจวเสาจิ่นก็ไม่เคยจะจับอารมณ์ความรู้สึกของเฉิงฉือได้จากสีหน้าที่แสดงออกมาอยู่แล้ว สิ่งที่นางรู้สึกล้วนได้มาจากสัญชาตญาณของตัวเองทั้งสิ้น เห็นเฉิงฉือเอาแต่มองนางไม่พูดอะไร และท่าทางก็ไม่เหมือนคนอารมณ์ไม่ดีด้วย นางจึงเอ่ยขึ้นว่า “ท่านน้าฉือ เช่นนั้นพวกเราก็ตกลงกันตามนี้ก็แล้วกันนะเจ้าคะ ก่อนที่เรื่องของเซียวเจิ้นไห่จะแล้วเสร็จ ท่านก็พักอยู่ที่บ้านของข้าไปก่อน”
เฉิงฉือพยักหน้า
โจวเสาจิ่นหัวเราะคิกพร้อมกับวิ่งหนีไป กระทั่งนางกลับมาถึงห้องข้าง ดื่มชาไปสองจอก นั่งนิ่งๆ ไปหนึ่งก้านธูป ในใจก็ยังคงเต้นตึกตักไม่หยุด
วันนี้ท่านน้าฉือแต่งกายอย่างเป็นทางการยิ่งนัก!
ยังคาดเข็มขัดหยกอีกด้วย
ตราประทับชิ้นเล็กที่ห้อยเอาไว้นั้นทำมาจากหินเลือด ขึ้นรูปเป็นทรงเจดีย์ สลักลายสมปรารถนาแปดประการ แค่มองก็รู้ว่ามีราคาไม่น้อย สวยงามเป็นอย่างมาก
น้อยครั้งนักที่ท่านน้าฉือจะแต่งกายหรูหราเช่นนี้
ไม่รู้ว่าเขาจะอยู่ได้หรือไม่
โจวเสาจิ่นนอนพลิกตัวไปมาอยู่บนเตียงกว่าครู่ใหญ่ ถึงได้นึกขึ้นมา ไม่รู้ว่าซางมามาไปตามหาท่านน้าฉือถึงไหนต่อไหนแล้ว
อย่างไรก็ตาม หากนางตามหาท่านน้าฉือไม่เจอก็คงจะกลับมาเอง
โจวเสาจิ่นสั่งให้หรูอี้ไปรอซางมามาที่หน้าประตู เมื่อเห็นนางก็ให้นางมาพบตนในทันที
หรูอี้ขานรับคำแล้วออกไปอย่างเชื่อฟัง
หลี่มามาคนข้างกายของหลี่ซื่อถือรายการอาหารเข้ามา กล่าวอย่างนอบน้อมว่า “ฮูหยินบอกว่ารบกวนคุณหนูรองช่วยดูรายการอาหารของงานเลี้ยงในเย็นวันนี้สักหน่อย เกรงว่าจะมีอาหารอะไรที่เป็นของต้องห้ามของนายท่านสี่เฉิงเจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นดูอย่างละเอียดไปหนึ่งรอบ เปลี่ยนรายการอาหารที่นางรู้สึกว่าไม่ค่อยอร่อยไปสองอย่าง จากนั้นยื่นส่งให้หลี่มามา
หลี่มามาจึงกล่าวยิ้มๆ ว่า “นายท่านสี่เฉิงเป็นน้องชายร่วมอุทรของขุนนางใหญ่เฉิงหรือเจ้าคะ เหตุใดถึงอายุน้อยขนาดนี้”
โจวเสาจิ่นเม้มปากหัวเราะ กล่าวขึ้นว่า “เขาเป็นบุตรชายคนเล็กของจวนหลัก ตอนให้กำเนิดท่านน้าฉือนั้นฮูหยินผู้เฒ่ากัวอายุมากกว่าสี่สิบปีแล้ว”
“ไอ้โหยว!” หลี่มามาเอ่ยขึ้นอย่างชื่นชมเจืออิจฉา “ฮูหยินผู้เฒ่ากัวช่างมีวาสนาดีจริงๆ เจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นยิ้มอย่างเห็นด้วย
หลี่มามาจัดการรายการอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว กระซิบกล่าวว่า “นายท่านสี่เฉิงช่างรูปงามยิ่งนัก” แล้วถึงได้ออกจากห้องข้างไป
โจวเสาจิ่นนึกถึงดวงตาสุกใสของเฉิงฉือ กอดหมอนใบใหญ่เอาไว้พร้อมกับแอบหัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
แน่นอนว่าช่วงเวลากินเลี้ยงในช่วงเย็นนั้นไม่มีเรื่องอะไรเกี่ยวข้องกับโจวเสาจิ่นแล้ว
โจวเจิ้นกับเฉิงฉือดื่มสุราไปเล็กน้อย สนทนาเกี่ยวกับเรื่องทั่วไปในราชสำนักและเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยในพงศาวดาร จากนั้นต่างคนต่างแยกย้ายกันกลับเรือนของตัวเอง
หลี่ซื่อรอโจวเจิ้นอยู่โดยตลอด
ตอนที่เปลี่ยนชุดให้โจวเจิ้นนั้นนางเอ่ยถามขึ้นว่า “นายท่านฉือของตระกูลเฉิงผู้นี้เข้าหาง่ายหรือไม่เจ้าคะ”
เฉิงจิงนั้นมิอาจพบเจอได้บ่อยๆ แต่ถ้าหากไปมาหาสู่อย่างสนิทสนมกับน้องชายร่วมอุทรของเฉิงจิงผู้นี้ได้ บางเรื่องหากบอกเฉิงจิงผ่านเขาได้ ก็น่าจะได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า
เริ่มแรกโจวเจิ้นปฏิบัติกับเฉิงฉืออย่างเป็นมิตร เขาเองก็เคยพิจารณาถึงปัจจัยนี้เช่นกัน แต่เห็นเฉิงฉือทำตัวเย็นชา เขาก็เลยเพียงปฏิบัติกับอีกฝ่ายเสมือนญาติฝ่ายภรรยาธรรมดาๆ คนหนึ่งเท่านั้น
“เป็นผู้มีความรู้ความสามารถสูงส่ง” โจวเจิ้นนึกถึงบทสนทนาต่างๆ ที่เพิ่งได้พูดคุยกับเฉิงฉือมาเมื่อครู่นี้ “เป็นคนไม่เลวเลยทีเดียว เพียงแต่หยิ่งทะนงและเย็นชาไปสักหน่อยเท่านั้น แต่อย่างไรก็ตาม เขาสอบผ่านจิ้นซื่อตั้งแต่อายุยังน้อย จึงเป็นเรื่องธรรมดา เพียงแต่ว่าให้เขามาดูแลกิจการของตระกูลเช่นนี้ ออกจะน่าเสียดายเกินไปสักหน่อย จำนวนคนของจวนหลักมีน้อย บุตรหลานมีฝีมือสักคนก็ไม่มี ต่อให้เขาคิดจะออกไปรับราชการ ภาระกิจการที่อยู่ในมือก็ไม่มีคนให้วางใจนำไปสานต่อได้” กล่าวถึงตรงนี้ เขาก็หัวเราะออกมา “ตระกูลอื่นคร่ำครวญที่บุตรหลานคนที่ร่ำเรียนหนังสือแล้วประสบความสำเร็จนั้นมีไม่มาก แต่ข้าเห็นจวนหลักของซอยจิ่วหรูกลับต้องคร่ำครวญที่บุตรหลานคนที่ไม่ร่ำเรียนหนังสือมีน้อยเกินไป อยากจะหาใครสักคนมาดูแลกิจการของตระกูลก็ทำไม่ได้”
หลี่ซื่อยิ้มอย่างสุภาพ
ทว่าโจวเจิ้นกลับเอ่ยขึ้นราวกับรำพึงรำพันว่า “อย่างไรก็ตาม ข้าว่าโชคชะตาของจวนหลักก็คงจะเป็นช่วงยี่สิบสามสิบปีนี้แล้ว กล่าวคือ ทั้งสามบ้านมีเฉิงเจียซ่านเพียงคนเดียว ได้แต่ต้องดูว่าเฉิงเจียซ่านจะดูแลจัดการตระกูลได้หรือไม่เท่านั้นแล้ว ในขณะที่จวนรองนั้นปัจจุบันมีหลานชายสองคนแล้ว…”
หลี่ซื่อมิได้สนใจเรื่องพวกนี้ นางกล่าวขึ้นว่า “เหตุใดนายท่านสี่ถึงยังไม่แต่งงานหรือเจ้าคะ ผู้อื่นที่อายุเท่าเขานี้ ลูกๆ ล้วนเริ่มเข้าเรียนกันแล้ว ท่านว่า เขาเป็นโรคอะไรที่เอ่ยไม่ได้หรือไม่เจ้าคะ”
โจวเจิ้นขมวดคิ้ว เอ่ยขึ้นว่า “คำพูดเช่นนี้ต่อไปเจ้าเอ่ยให้น้อย สถานการณ์ของแต่ละบ้านไม่เหมือนกัน ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยังไม่เจ้ากี้เจ้าการเลย คนนอกอย่างพวกเรานี้จึงยิ่งไม่มีสิทธิ์ไปกล่าวถึง”
หลี่ซื่อเอ่ยอย่างขุ่นเคืองว่า “มิใช่ว่าข้าพูดกับท่านเป็นการส่วนตัวหรอกหรือเจ้าคะ”
โจวเจิ้นชะงักงัน กล่าวยิ้มๆ ว่า “เช่นนั้นก็พูดกันเป็นการส่วนตัวเท่านั้นก็แล้วกัน”
หลี่ซื่อขานรับคำ สีหน้ามีความสุขขึ้นมา
***
กระทั่งถึงเวลาตีกลองบอกเวลายามสองซางมามาถึงได้กลับมา ได้รับแจ้งว่าเฉิงฉือมาพักอยู่ที่ที่ว่าการหยาเหมินนี้ ก็อ้าปากค้างตกตะลึงไปกว่าครึ่งค่อนวัน วันรุ่งขึ้นฟ้ายังไม่ทันสาง ก็ไปรออยู่ที่ลานของเรือนรับรองแขกแล้ว
เฉิงฉือปล่อยให้นางยืนอยู่ข้างนอกเกือบหนึ่งชั่วยาม เมื่อเห็นว่าหลังจากรับประทานมื้อเช้าเสร็จก็ต้องไปกล่าวทักทายโจวเจิ้นแล้ว ถึงได้ให้ซางมามาเข้ามา
ซางมามารู้ตัวว่าตนทำไม่ถูกต้อง จึงคุกเข่าลงตรงหน้าเฉิงฉือโดยไม่โต้แย้งอะไรสักคำ กล่าวเสียงเบาว่า “คุณหนูรองเป็นคนได้รับข่าวคราวมา หากข้าไม่ไป คุณหนูรองก็ไม่ยินยอมเจ้าค่ะ” กล่าวจบ นางยื่นมือออกไป บนฝ่ามือมีตั๋วเงินอยู่สองใบ “นี่เป็นเงินที่คุณหนูรองให้มา บอกว่าเกรงว่าข้าจะต้องใช้เงินเจ้าค่ะ…”
ภายใต้แสงแรกของวัน จึงเห็นรอยพับของตั๋วเงินสองใบนั้นได้อย่างชัดเจน
ทันใดนั้นหัวใจของเฉิงฉือราวกับถูกของอะไรบางอย่างกระแทกเข้าใส่ รู้สึกชาและมึนงงไปชั่วขณะ หายใจไม่ออกเล็กน้อย
เขาเอามือทาบหน้าอก สูดหายใจเข้าลึกๆ ครั้งหนึ่ง
หัวใจค่อยกลับมาเต้นอย่างปกติอีกครั้ง
เฉิงฉือกล่าวอย่างสงบว่า “เรื่องของตระกูลเซียวมิใช่ว่าเจ้าไม่รู้ เซียวเจิ้นไห่จะทำอะไรข้าได้? ข้าให้เจ้าติดตามคุณหนูรอง ก็เพราะกลัวว่าพวกเขาจะค้นพบอะไรบางอย่างเข้า แล้วไม่เป็นผลดีต่อตัวคุณหนูรอง เจ้าทำเช่นนี้ ทุกอย่างก็ผิดแผนผิดขั้นตอนไปหมด เห็นแก่คุณหนูรอง ครั้งนี้ก็ให้แล้วกันไป แต่ถ้าหากมีครั้งหน้าอีก ข้าก็คงได้แต่ต้องเปลี่ยนตัวคนมาดูแลคุณหนูรองแล้ว”
“ข้าจะจดจำเอาไว้เจ้าค่ะ” ซางมามาก้มศีรษะลงต่ำ
“ไปเถิด!” เฉิงฉือกล่าวอย่างเย็นชา “จำเอาไว้ว่าครั้งต่อไปอย่าตัดสินใจเองอีก”
“เจ้าค่ะ!” ซางมามาถอยออกไป ประหนึ่งมีชีวิตรอดออกมาจากความตาย เสื้อกั๊กเปียกชื้น

VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน