ซ่งมู่เว้นระยะห่างกับโจวเสาจิ่นด้วยทางเดินหินปูลายเงินเหรียญขณะสนทนาปราศรัยกับนาง “เจ้ามาถึงจิงเฉิงตั้งแต่เมื่อใดหรือ ได้ยินว่าเจ้ามีพี่สาวผู้หนึ่งแต่งเข้าตระกูลเลี่ยวที่เจิ้นเจียง แล้วหลานชายจะครบรอบเดือนเมื่อใด ทุกวันที่หนึ่งและวันที่สิบห้าของเดือนจะมีงานวัดจัดที่วัดต้าเซียงกั๋ว คุณหนูโจวเคยไปเดินเล่นมาแล้วหรือยัง”
คุณชายซ่งรู้เกี่ยวกับนางละเอียดขนาดนี้ได้อย่างไร
โจวเสาจิ่นลอบสงสัยอยู่ในใจ ทว่ามิได้แสดงออกมาทางสีหน้า ตอบคำถามทีละข้อๆ อย่างเป็นธรรมชาติและสบายๆ
ซ่งมู่เห็นสีหน้าโจวเสาจิ่นอ่อนโยน ไม่มีความขุ่นเคืองใจเลยแม้แต่นิดเดียว รู้สึกโล่งอกไปครั้งใหญ่ ทว่าใบหูกลับร้อนจนแดงก่ำไปหมด กล่าวต่อไปว่า “ความจริงแล้วจิงเฉิงยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอีกเป็นจำนวนมาก นอกจากวัดต้าเซียงกั๋วและวัดไป๋อวิ๋นก้วนแล้ว ทะเลสาบสือช่าก็น่าเที่ยวไม่น้อย ช่วงฤดูหนาวเล่นน้ำแข็งได้ ส่วนฤดูร้อนก็พายเรือเล่นได้ ทางทิศใต้ของเมืองยังมีสถานที่หนึ่งเรียกว่าตรอกจินอวี๋ เป็นที่ขายปลาและนกโดยเฉพาะ ยังมีอีกสถานที่หนึ่งเรียกว่าเฟิงไถ เป็นสถานที่ขายต้นไม้ดอกไม้ ว่ากันว่าต้นไม้ดอกไม้ในพระราชวังล้วนซื้อมาจากที่นั่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อถึงฤดูหนาว พวกเขาปลูกดอกไม้ที่บานในฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อนได้ ทุกบ้านต่างไปซื้อกลับมาฉลองวันขึ้นปีใหม่สักสองสามกระถาง ค้าขายดียิ่งนัก รถม้าที่ไปรับต่างแน่นขนัดขยับไม่ได้เลยทีเดียว…”
เรื่องพวกนี้ล้วนเป็นสิ่งที่โจวเสาจิ่นรู้อยู่แล้ว
แต่เพื่อเป็นการให้เกียรติซ่งมู่ นางจึงยังคงยิ้มน้อยๆ นั่งฟังอยู่ตรงนั้น
นี่ไม่เพียงทำให้ซ่งมู่รู้สึกว่าโจวเสาจิ่นเป็นคนสุภาพอ่อนโยนและรู้สึกพึงพอใจกับการเกี่ยวดองในครั้งนี้เป็นอย่างมากเท่านั้น ยังทำให้เขารู้สึกกล้าหาญและมีกำลังใจขึ้นมาก เขาหยุดเสียงพูดลงครู่หนึ่ง จากนั้นกล่าวขึ้นว่า “คุณหนูรอง ข้ามีน้องสาวผู้หนึ่ง เนื่องด้วยเหตุที่ข้ายังไม่ได้หมั้นหมาย ถึงแม้นางจะมีคู่หมายที่ถูกใจแล้ว ทว่ายังคงไม่ได้หมั้นหมายกัน มารดาของข้าตั้งใจเอาไว้ว่าอีกสองสามวันจะพานางไปจุดธูปที่วัดต้าเซียงกั๋ว ข้าได้ยินมาว่าคุณหนูรองเลื่อมใสในพระพุทธองค์อย่างแท้จริง มิสู้ชักชวนมารดาพร้อมด้วยมารดาและน้องสาวของข้าไปเที่ยวชมวัดต้าเซียงกั๋วด้วยกัน วัดต้าเซียงกั๋วเป็นวัดประจำราชวงศ์ของรัชสมัยก่อน ทุกวันนี้ก็ยังได้รับการยกย่องเชิดชูเป็นอย่างมากอยู่ เดือนสิบสองของปีที่แล้วยังไปจุดธูปที่วัดต้าเซียงกั๋ว ยังคงเฟื่องฟูไปด้วยธูปเทียน นอกวัดก็มีของขายเป็นจำนวนมาก ทุกครั้งที่น้องสาวกับมารดาของข้าไปล้วนซื้อของกลับมาด้วยหนึ่งกองใหญ่…”
ยิ่งฟังในใจของโจวเสาจิ่นก็ยิ่งรู้สึกว่าไม่ถูกต้องนัก
นี่ซ่งมู่…คิดจะนัดหมายนางออกไปแทนมารดาของเขา…แต่เขาสุภาพบุรุษผู้หนึ่ง จะทำเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร
นางหันไปมองซ่งมู่
แววตาของซ่งมู่ดูจริงใจ ทว่าก็แฝงไว้ด้วยความขัดเขินอยู่ด้วยหลายส่วน
โจวเสาจิ่นหัวใจสะดุดตกใจ ความคิดบ้าบิ่นหนึ่งพลันปรากฏขึ้นมาในหัวสมองของนาง
ที่ผ่านมาเวลาจวนหลักของซอยจิ่วหรูจะตบแต่งบุตรสาวออกไปมักจะมีธรรมเนียมการดูตัวกันก่อน…หรือว่า หรือว่านางเองก็กำลังเผชิญกับมันอยู่?
แต่เหตุใดพี่สาวถึงไม่บอกนางตามตรงนะ
นางมองซ่งมู่ที่สวมอาภรณ์หรูหรา บริเวณเอวห้อยตราประทับหินโซ่วซานสลักลายพระพรหมและถุงหอมผ้าทอเค่อซือเอาไว้ ทันใดนั้นก็ตระหนักได้ว่าซ่งมู่เองก็เป็นบุตรหลานของตระกูลใหญ่ตระกูลโตผู้หนึ่ง…แต่ตระกูลของนางเป็นเพียงเจ้าเมืองขั้นสี่เท่านั้น…เพราะฉะนั้นจึงต้องดูตัวกันก่อน…ไม่เช่นนั้นหากหมั้นหมายกันไป ก็จะไม่อาจถอนคืนได้อีก…ท่านน้าฉือต้องกลัวว่านางจะไม่พอใจเป็นแน่…ดังนั้นถึงได้วางแผนเช่นนี้…
ชั่วขณะนั้นโจวเสาจิ่นรู้สึกมือเท้าเย็นไปหมด กว่าครู่ใหญ่ถึงจะได้สติคืนกลับมา
นางกระโดดลุกพรวดขึ้นมา ด้วยกิริยารุนแรงเล็กน้อย จนเกือบจะปัดใส่จอกน้ำชาที่วางอยู่บนโต๊ะน้ำชาข้างกายหกเสียแล้ว
ซ่งมู่ที่กำลังกล่าวอยู่นั้นไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ก็รีบลุกตามขึ้นมาด้วย
โจวเสาจิ่นหน้าซีดเล็กน้อย สูดหายใจเข้าลึกๆ ครั้งหนึ่งถึงได้สงบสติอารมณ์ลงได้ ยิ้มพลางกล่าวกับซ่งมู่ว่า “คุณชายมู่ ข้า ข้านึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ ท่านนั่งอยู่ตรงนี้ก่อนสักครู่หนึ่ง ข้าจะรีบกลับมา”
ซ่งมู่บังเกิดความสงสัยขึ้นในใจเล็กน้อย ทว่าเรื่องของสตรีจึงไม่อาจสอบถามได้ ยิ้มพร้อมกับประสานมือค้อมตัวให้นาง
โจวเสาจิ่นย่อกายให้ครั้งหนึ่ง พาชุนหว่านออกจากลานบ้านไปอย่างรีบร้อน จับต้นกุ้ยฮวาที่อยู่ตรงหน้าประตูเรือนชั้นในต้นนั้นเอาไว้ไม่มีแรงขยับได้อีกแม้แต่ก้าวเดียว
ชุนหว่านร้อนใจ กระซิบถามไม่หยุดว่า “คุณหนูรอง นี่ท่านเป็นอะไรไปเจ้าคะ รู้สึกไม่สบายตรงที่ใดหรือไม่ สีหน้าท่านดูซีดเซียวยิ่งนัก…”
“ข้าไม่เป็นไร” ผ่านไปกว่าครู่ใหญ่ โจวเสาจิ่นถึงได้เอ่ยขึ้นว่า “เพียงนึกเรื่องบางอย่างขึ้นได้เท่านั้น”
น้ำเสียงของนางแหบแห้งเล็กน้อย คล้ายกับจะร้องไห้ออกมาแล้วก็ไม่ปาน
ชุนหว่านรีบก้าวออกไปประคองนาง
อารมณ์ของโจวเสาจิ่นถึงได้ค่อยๆ สงบลงมา
สิ่งที่สำคัญที่สุด ณ ตอนนี้ก็คือต้องเข้าใจอย่างกระจ่างแจ้งก่อนว่าเรื่องตรงหน้าคือเรื่องอะไรกันแน่…แต่ถ้าหากอยากเข้าใจอย่างกระจ่างแจ้งว่าเรื่องตรงหน้าคือเรื่องอะไร จดหมายที่พี่สาวให้นางนำมาส่งให้ฉบับนั้นก็จะกลายเป็นกุญแจสำคัญ…แต่จะรู้ได้อย่างไรว่าพี่สาวเขียนอะไรในจดหมายฉบับนั้นบ้าง
โจวเสาจิ่นกัดริมฝีปาก สั่งการชุนหว่านว่า “เจ้าแอบไปเชิญหลั่งเย่ว์มาที่นี่เงียบๆ หน่อย ข้ามีเรื่องด่วน!”
ชุนหว่านไม่กล้าชักช้า รีบสาวเท้าออกไปตามหาคน
โชคดีที่บ้านหลังนี้ไม่ใหญ่มาก ไม่นาน หลั่งเย่ว์ก็ตามชุนหว่านเข้ามาอย่างรีบร้อน
โจวเสาจิ่นขอร้องเขา “พี่สาวให้ข้านำจดหมายมาให้ท่านน้าฉือฉบับหนึ่ง ในนั้นมีลูกประคำเส้นหนึ่งติดมาด้วย” ขณะที่นางกล่าว ก็ถอดสร้อยลูกประคำที่บนข้อมือออกมา “หลังจากที่ข้าดูเสร็จแล้วก็ลืมเก็บใส่กลับเข้าไปดังเดิม ประเดี๋ยวเจ้าช่วยข้าแอบนำกลับไปคืนสักหน่อยจะเป็นการดียิ่ง”
หลั่งเย่ว์ขานรับคำยิ้มๆ ยังกล่าวปลอบโยนนางว่า “มิต้องเป็นกังวลขอรับ ต่อให้นายท่านสี่ทราบเรื่องแล้วก็ไม่เคืองโกรธอย่างแน่นอน”
มีเรื่องมากมายที่ผู้อื่นกระทำไม่ได้แต่คุณหนูรองล้วนทำต่อหน้านายท่านสี่ได้ ก็เพียงแอบดูจดหมายที่พี่สาวของคุณหนูรองเองส่งให้นายท่านสี่เท่านั้น ต่อให้นายท่านสี่ทราบเรื่องแล้วจะเคืองโกรธ แต่เมื่อคุณหนูรองทำท่าทางตลกขบขันสักอย่างเรื่องก็ผ่านพ้นไปเองแล้ว
โจวเสาจิ่นพยักหน้าด้วยจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว บรรยายลักษณะของจดหมายฉบับนั้นให้หลั่งเย่ว์ฟัง

VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน