เข้าสู่ระบบผ่าน

ยามดอกวสันต์ผลิบาน นิยาย บท 383

ซ่งมู่ชะงักงันด้วยความตกใจ เอ่ยขึ้นว่า “เจ้าอายุยังน้อย มีความคิดเช่นนี้ได้อย่างไร เจ้ารู้จักความลำบากของการออกบวชหรือไม่ นี่ต่างอะไรกับการครองตัวหม้ายให้กับสามีที่เสียชีวิตไปแล้วกัน บิดามารดาของเจ้าต้องไม่ยินยอมอย่างแน่นอน เจ้าต้องคิดให้ถี่ถ้วนรอบคอบก่อนที่จะตัดสินใจทำถึงจะถูก ตกลงว่าบุรุษผู้นั้นเป็นใครกันแน่ เจ้าถึงกับละทิ้งทุกอย่างเพื่อเขาได้เช่นนี้ เหตุใดเขาถึงไม่ออกหน้ามาเพื่อเจ้า คนเช่นนี้ไม่ควรค่า…”

โจวเสาจิ่นได้แต่ฟังอย่างเงียบๆ ทว่ายิ่งอยู่ความคิดก็ยิ่งแจ่มชัดขึ้น

นอกจากท่านน้าฉือแล้วนางไม่อาจเชื่อใจบุรุษผู้ใดได้อีก การแต่งงานกับผู้อื่นไปอย่างรีบร้อนไม่เอาใจใส่ มีแต่จะทำให้ชีวิตของนางยิ่งอยู่ก็ยิ่งเป็นทุกข์มากขึ้น แทนที่จะหลอกผู้อื่นไปเช่นนี้ ไม่สู้นางมีชีวิตอยู่อย่างเงียบๆ ไปคนเดียวยังจะดีกว่า

แต่ก็อย่างที่ซ่งมู่กล่าวมา ผู้ใหญ่ในบ้านจะต้องไม่มีทางเห็นด้วยอย่างแน่นอน จะให้ดีนางควรจะรักษาศีลอยู่ในบ้านสักสองสามปี รอให้อายุมากขึ้นแล้ว ค่อยเอ่ยถึงเรื่องจะออกบวช แต่ก่อนจะไปถึงตอนนั้น เพื่อยับยั้งความคิดของคนในครอบครัวแล้ว ไม่สู้แสร้งป่วยสักสองสามปีจะดีกว่า

เป็นโรคที่ไม่อาจระบุชื่อได้ ก็จะได้ทาบทามให้ใครไม่ได้ บิดารักใคร่เห็นใจนาง มากกว่าครึ่งย่อมไม่ยอมยกนางให้แต่งกับผู้ใดอย่างส่งเดชแน่นอน จากนั้นนางค่อยเอ่ยถึงเรื่องสร้างอารามที่บ้านสักหลังหนึ่ง บิดาและพี่สาวน่าจะอนุญาต ถึงเวลานั้นนางค่อยไปขอ ‘เงินบริจาค’ จากเฉิงฉือ ขอให้เขาช่วยสมทบทุน…

ราวกับว่าการได้อาศัยอยู่ในสถานที่ที่ใช้เงินของเฉิงฉือสร้างขึ้นมาให้นางนั้น ก็เท่ากับนางได้อาศัยอยู่ในอาณาบริเวณของเฉิงฉือแล้วเช่นกันก็ไม่ปาน

โจวเสาจิ่นครุ่นคิดแล้วดวงหน้าก็แต้มไปด้วยรอยยิ้ม ดูอ่อนโยนประดุจน้ำ

ซ่งมู่หยุดบทสนทนาลงด้วยความประหลาดใจ

โจวเสาจิ่นรีบกล่าวขึ้นว่า “ขอบคุณคำแนะนำดีๆ ของคุณชาย เรื่องนี้ข้าจะนำไปไตร่ตรองให้ดีเจ้าค่ะ”

ในเมื่อผู้อื่นมีความคิดเป็นของตัวเองแล้ว เขายังจะเจื้อยแจ้วอยู่ที่นี่ไปเพื่ออันใด

ดวงหน้าของซ่งมู่เก็บอารมณ์ไม่อยู่เล็กน้อย ทว่าอารมณ์คุกรุ่นในใจกับจางหายไปหมดแล้ว

คุณหนูรองตระกูลโจวเองก็เป็นคนน่าเห็นใจจริงๆ

เพื่อคนที่อยู่ในใจผู้นั้นแล้ว ถูกกดดันจนถึงกับคิดจะออกบวชเลยทีเดียว

เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว น้องสาวของเขาถือว่าโชคดีกว่ามาก

ชอบพอกับบุตรชายของสหายร่วมชั้นปีสอบของบิดามาเนิ่นนาน ทั้งสองคนต่างไปมาหาสู่กันบ่อยๆ ซึ่งก็ถือได้ว่าเป็นคู่ที่รักกันมาตั้งแต่วัยเด็ก ว่าที่น้องเขยในอนาคตรักใคร่และให้เกียรติน้องสาว ตระกูลฝ่ายชายก็เฝ้ารอมาเนิ่นนาน เพียงรอให้ตนแต่งงาน น้องสาวก็จะได้ขึ้นเกี้ยวเจ้าสาวไปอย่างมีความสุขแล้ว…

ส่วนคุณหนูรองตระกูลโจวผู้นี้เป็นคนมีจิตใจกว้างขวางและรับผิดชอบผู้หนึ่ง หากเป็นบุรุษ อย่างไรก็ต้องคบหาเป็นสหายกันให้ได้ แต่ถึงเป็นสตรี…ก็กล่าวได้ว่ามีความกล้าหาญไม่ด้อยไปกว่าบุรุษ และยังเป็นสตรีที่โดดเด่นท่ามกลางหมู่สตรีในห้องหออีกด้วย

อย่างน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับบรรดาน้องสาวตระกูลหวังแล้ว ผู้หนึ่งเป็นสวรรค์อีกผู้หนึ่งเป็นนรก

ซ่งมู่ตัดสินใจจะช่วยเหลือโจวเสาจิ่นสักครั้งหนึ่ง

มิใช่เพื่ออย่างอื่น แต่เห็นแก่ที่นางเป็น ‘พี่นางฟ้า’ ของน้องห้าของเขา ต่อไปเวลาสองตระกูลไปมาหาสู่กัน ก็ถือว่าเป็นการสร้างกรรมดีต่อกันไว้

ไม่แน่ว่าคุณหนูรองตระกูลโจวและน้องสาวของเขาอาจจะกลายเป็นสหายสนิทกันก็เป็นได้

ซ่งมู่เอ่ยขึ้นว่า “เช่นนั้นประเดี๋ยวพวกเราจะบอกผู้ใหญ่ว่าอย่างไรดี”

นี่คงคิดจะช่วยเหลือนางกระมัง

ดวงตาดอกท้อของโจวเสาจิ่นเบิกกว้าง มองซ่งมู่ด้วยความประหลาดใจ

ซ่งมู่รู้สึกว่าท่าทางนี้ของนางช่างน่าขบขันยิ่งนัก

เพื่อตอบแทนที่ได้เห็นท่าทางนี้ของนาง เขาก็ควรจะทำให้นางประหลาดใจอย่างคาดไม่ถึงสักหน่อยถึงจะถูก

ซ่งมู่ยืดหลังให้ตรงยิ่งขึ้น กล่าวอย่างเรียบเฉยว่า “พวกเราคงไม่อาจต่างคนต่างแต่งเรื่องของตัวเอง กล่าววาจาเลื่อนเปื้อนไปคำรบหนึ่ง ถึงเวลาทำให้ผู้ใหญ่ของทั้งสองตระกูลบาดหมางกันหรอกกระมัง”

“อ่า!” โจวเสาจิ่นถึงได้กล้าแน่ใจขึ้นมา นางอดรู้สึกซาบซึ้งใจไม่ได้ กล่าวขอบคุณซ่งมู่ไม่หยุด

ซ่งมู่พยักหน้าให้อย่างไม่ใส่ใจนัก กล่าวขึ้นว่า “ตอนนี้มิใช่เวลามากล่าวขอบคุณ รีบคิดหาวิธีกันดีกว่า! ประเดี๋ยวหากท่านปู่ของข้าและท่านอาฉือออกมาแล้ว พวกเราคงไม่สะดวกจะพูดคุยกันอีก”

โจวเสาจิ่นหลุบตาลงครุ่นคิด ดูอ่อนโยนบอบบางประหนึ่งดอกกล้วยไม้สกุลเขากวางอ่อนต้นหนึ่ง

แต่ผู้ใดจะรู้ว่าเนื้อในของนางกลับอดทนและเข้มแข็งถึงเพียงนั้น!

ซ่งมู่กล่าวขึ้นว่า “เอาอย่างนี้ดีหรือไม่ เจ้าไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น ข้าจะบอกว่าเจ้าดูหัวอ่อนเกินไป เกรงว่าคงไม่ค่อยเหมาะจะมาเป็นนายหญิงของตระกูล มิสู้ลองทาบทามเจ้าให้น้องชายคนรองของข้าดู…”

“หา!” โจวเสาจิ่นรู้สึกเพียงว่าตกใจจนราวกับมีสายฟ้าก่อตัวเป็นคลื่นอยู่บนศีรษะของนาง

นัยน์ตาของซ่งมู่มีแววพึงพอใจสายหนึ่งวาบผ่าน กล่าวว่า “พวกผู้ใหญ่จะต้องไม่เห็นด้วยอย่างแน่นอน โดยเฉพาะท่านน้าฉือของเจ้า เนื่องจากน้องชายรองของข้ายังไม่มียศตำแหน่ง การทาบทามในครั้งนี้ก็จะล้มเหลวไปเองโดยปริยาย และผู้ใหญ่ของทั้งสองตระกูลก็ไม่ต้องมีปัญหาขัดแย้งกันด้วยเรื่องนี้ด้วย…”

แต่ถ้าเป็นเช่นนี้ ก็เท่ากับว่าตระกูลซ่งติดหนี้น้ำใจตระกูลเฉิงหนึ่งครั้ง

“ไม่ได้เจ้าค่ะๆ” โจวเสาจิ่นส่ายหน้ารัวประหนึ่งกลองป๋องแป๋ง กล่าวว่า “เรื่องนี้เป็นข้าที่ทำไม่ถูก จะให้ตระกูลซ่งเป็นแพะรับบาปได้อย่างไร…”

“เรื่องนี้ให้ตกลงกันตามนี้” ซ่งมู่กลับกล่าวตัดบทคำพูดของโจวเสาจิ่นอย่างเด็ดเดี่ยวและแน่วแน่ กล่าวว่า “ทำเช่นนี้ก็เพื่อตัวข้าเอง ข้าปฏิเสธเจ้า อย่างไรก็ย่อมดีกว่าเจ้าปฏิเสธข้ากระมัง”

แน่นอนว่าโจวเสาจิ่นรู้ดีว่าเขาไม่ได้ทำเพื่อหน้าตาของตัวเอง

ถ้าหากเขาทำเพื่อหน้าตาของตัวเองล่ะก็ เขาก็คงจะเสนอออกมาตั้งแต่ตอนที่นางปฏิเสธเขาแล้ว

โจวเสาจิ่นไม่รู้จะกล่าวอะไรอีก หันไปย่อกายให้เขา พลางกล่าวขอบคุณด้วยเสียงที่เปี่ยมด้วยความรู้สึกซาบซึ้งใจว่า “ขอบคุณมากเจ้าค่ะ”

เห็นนางกล่าวขอบคุณเขาอย่างให้ความเคารพเช่นนั้น ใบหูของซ่งมู่ก็แดงก่ำไปหมด กล่าวขึ้นอย่างอยู่ไม่สุขเล็กน้อยว่า “มิใช่เจ้าบอกว่าจะตอบแทนข้าหรอกหรือ ข้ารู้สึกว่าทำให้คุณหนูของซอยจิ่วหรูติดหนี้น้ำใจข้าสักครั้งหนึ่งได้ก็ไม่เลวเหมือนกัน ไม่แน่ว่าสักวันอาจจะได้ใช้ขึ้นมาจริงๆ ก็เป็นได้…”

โจวเสาจิ่นเม้มปากลั้นยิ้ม เอ่ยขึ้นว่า “เป็นได้เพียงคุณหนูรองตระกูลโจวเท่านั้นแล้ว ข้าไม่เชื่อฟังเช่นนี้ ต้องทำให้ผู้ใหญ่กรุ่นโกรธอย่างแน่นอน คงเป็นคุณหนูของซอยจิ่วหรูไม่ได้แล้ว”

ซ่งมู่หัวเราะฮ่า

ทั้งสองคนมีความคิดเห็นคล้ายกัน พอมีเรื่องให้หัวเราะได้ก็ลืมเลือนเรื่องชำระหนี้บุญคุณความแค้นไปหมดแล้ว

โจวเสาจิ่นถอนหายใจยาวอย่างโล่งอกครั้งหนึ่ง

ซ่งมู่กล่าวกับโจวเสาจิ่นคำหนึ่งว่า “รักษาตัว” แล้วเข้าเรือนหลักไป

โจวเสาจิ่นยืนอยู่เบื้องหน้าอ่างเลี้ยงปลา ก้มศีรษะลงมองปลาทองสีทองหางสีดำดวงตาโปนตัวหนึ่งโผล่พ้นผิวน้ำขึ้นมางับหญ้าที่อยู่บนผิวน้ำ ในใจรู้สึกเพียงความสงบและปลอดโปร่ง

ชีวิตต่อจากนี้ไป ส่วนใหญ่ก็คงฆ่าเวลาด้วยปลูกดอกไม้ต้นไม้แล้ว!

Verify captcha to read the content.VERIFYCAPTCHA_LABEL

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน