เฉิงฉือได้ยินแล้วรู้สึกหนาวยะเยือกไปทั้งใจ
เขาไม่ได้รู้สึกเช่นนี้มากี่ปีแล้ว!
ตอนที่โจวเสาจิ่นกลับออกไปจากที่นี่ในวันนั้นยังดีๆ อยู่เลย เหตุใดไม่ได้เจอไม่กี่วันก็ล้มป่วยลงแล้ว
หรือว่าพอนางกลับไปแล้วจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นอีก?
สายตาที่เฉิงฉือมองหลี่มามาดูคมกล้าขึ้นเล็กน้อย สั่งให้ฉินจื่อผิงนำป้ายชื่อของเฉิงจิงไปที่สำนักหมอหลวง
หมอหลวงที่สำนักหมอหลวงจะรับคำสั่งจากองค์ฮ่องเต้ หากไม่มีคำสั่งจากองค์ฮ่องเต้ไม่อาจไปตรวจดูอาการให้คนนอกได้ แต่น้ำใจก็อยู่เหนือกฎเกณฑ์ ยามอยู่นอกเหนือเวลางาน หมอหลวงเหล่านั้นก็อาจจะไปตรวจดูอาการเจ็บป่วยให้ขุนนางระดับสูงและคนในครอบครัวของพวกเขาเป็นการส่วนตัวได้เช่นกัน
แต่บังเอิญว่าไท่เฟยที่ทรงดำรงอยู่คู่กับไทเฮาพระองค์หนึ่งในพระราชวังทรงพระประชวร รักษานานแล้วก็ยังไม่ดีขึ้น เป็นเหตุให้ไทเฮาทรงเป็นกังวลใจยิ่งนัก องค์ฮ่องเต้จึงพาหัวหน้าหมอหลวงและคนอื่นๆ ไปที่ตำหนักฉือหนิง เวลานี้จึงไม่อาจออกไปรักษาคนไข้เป็นการส่วนตัวตามบ้านได้ ได้แต่ต้องรอพรุ่งนี้แล้ว
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ มีแต่ต้องขอพระราชานุญาตจากองค์ฮ่องเต้ ให้ส่งคนจากสำนักหมอหลวงไปตรวจดูอาการให้เท่านั้นแล้ว
เป็นครั้งแรกที่เฉิงฉือได้สัมผัสถึงความรู้สึกไม่สะดวก
เขาให้ไหวซานนำป้ายชื่อของตนไปที่บ้านอีกหลังของขันทีสนองพระโอษฐ์ตระกูลหลิวที่ตั้งอยู่ที่ซอยเจินเซี่ยน
ตกบ่าย สำนักหมอหลวงส่งหมอหลวงแซ่เฉาท่านหนึ่งเข้ามา ว่ากันว่าเป็นน้องชายร่วมสกุลของหัวหน้าหมอหลวงเฉาแห่งสำนักหมอหลวง เชี่ยวชาญเรื่องโรคของสตรีและเด็ก ฝีมือการรักษายอดเยี่ยมยิ่ง เนื่องจากเพิ่งเข้ามารับตำแหน่งในสำนักหมอหลวง หัวหน้าหมอหลวงเฉาต้องเข้าวัง เขาจึงถูกทิ้งให้อยู่ปฏิบัติหน้าที่ที่สำนักหมอหลวง
เฉิงฉือครุ่นคิดว่าหากหมอหลวงแซ่เฉาผู้นี้ยังไม่ได้ผล พรุ่งนี้ค่อยเชิญหัวหน้าหมอหลวงเฉาไปดูอาการให้โจวเสาจิ่นอีกที และก็ไม่มีเวลามาสนใจเรื่องคุณสมบัติที่ธรรมดาสามัญเกินไปของเขาด้วย จึงพาหมอหลวงเฉาไปที่ซอยอวี๋ซู่
หลี่ซื่อคิดไม่ถึงว่าเฉิงฉือจะมาด้วยตัวเอง อีกทั้งยังพาหมอหลวงที่ดูเคร่งขรึมมาด้วยท่านหนึ่ง
นางทั้งดีใจและประหลาดใจ เชิญทั้งสองคนเข้ามาด้วยความประหม่าและเกรงกลัว
โจวชูจิ่นและโจวเสาจิ่นต่างตกใจเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะโจวเสาจิ่น แสร้งล้มป่วยจนเป็นเหตุให้มีหมอหลวงมาหา หากถูกจับได้ขึ้นมาแม้เพียงเล็กน้อย นางจะยังเป็นคนต่อไปได้อย่างไร…โจวชูจิ่นกลับรู้สึกว่าเช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน ถ้าหากน้องสาวป่วยทางใจจริง ก็ให้หมอหลวงดูอาการสักหน่อย นางเองก็จะได้ไม่ต้องเชิญท่านหมอมาอีก เพียงให้คำชี้แนะนางดีๆ สักครั้งก็พอ แต่ถ้าหากมิใช่อาการป่วยทางใจ ก็ให้หมอหลวงช่วยตรวจดูอย่างละเอียด จะได้สั่งยาได้ถูกกับโรค
หลังจากที่สั่งให้บ่าวรับใช้ในเรือนชั้นในหลบออกไปก่อนแล้ว หลี่มามาก็พาเฉิงฉือและหมอหลวงเฉาไปยังสถานที่พักของโจวเสาจิ่น
หมอหลวงเฉาเข้าไปจับชีพจรอยู่ด้านใน ส่วนโจวชูจิ่นและเฉิงฉือยืนรอผลอยู่ตรงเฉลียงทางเดิน
ลานบ้านกว้างเพียงหนึ่งจั้งกว่าเท่านั้น มุมทางตะวันเฉียงใต้ปลูกต้นไผ่เอาไว้กอหนึ่ง ข้างเฉลียงทางเดินเป็นดอกพุทธรักษาหนึ่งกอใหญ่ กำลังเบ่งบานสีแดงบ้างสีเหลืองบ้างสะพรั่งเต็มไปหมด ทำให้ลานบ้านยิ่งดูเล็กเข้าไปอีก
เฉิงฉือขมวดคิ้วมุ่นไม่หยุด
เขารู้ว่าบ้านของเลี่ยวเส้าถังที่ซอยอวี๋ซู่นี้ค่อนข้างเล็ก แต่เขาก็คิดไม่ถึงว่าจะเล็กขนาดนี้ เล็กยิ่งกว่าที่พักของพวกบ่าวรับใช้ในเรือนฝู่ชุ่ยเสียอีก
เขาเอ่ยถามโจวชูจิ่นว่า “หลายวันมานี้ในบ้านมีเรื่องอะไรหรือไม่”
โจวชูจิ่นเข้าใจความหมายของเขาดี ครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วนครู่หนึ่ง แล้วกล่าวอย่างมั่นใจว่า “ในบ้านทุกอย่างสงบเรียบร้อยดี ไม่ต่างจากช่วงเวลาปกติเลยเจ้าค่ะ! เมื่อวานเสาจิ่นยังเอ่ยกับฮูหยินว่า ให้ฮูหยินใช้โอกาสตอนที่ข้าอยู่เดือนครบแล้วและตอนที่แม่สามีข้ายังไม่มานี้ออกไปเดินเล่นจิงเฉิงสักหน่อยอยู่เลยเจ้าค่ะ!”
เช่นนั้นนางล้มป่วยได้อย่างไร
เฉิงฉือขมวดคิ้วมุ่นจนเห็นรอยย่นสามขีด
โจวเสาจิ่นอยากจะเอ่ยบางอย่างทว่าก็หยุดไป
เฉิงฉือเอ่ยขึ้นว่า “ในนี้ก็ไม่มีคนนอก มีอะไรที่พูดไม่ได้กัน”
โจวชูจิ่นลังเลใจอยู่ครู่หนึ่ง ถึงได้เอ่ยเสียงเบาว่า “ข้ารู้สึกว่าเสาจิ่นป่วยทางใจเจ้าค่ะ…หลังจากกลับมาจากซอยอวี๋เฉียนนางพูดกับข้าว่า ซ่งซิ่วจือเป็นคนดีมาก แต่พอนางเห็นซ่งซิ่วจือ…ก็จะนึกถึงน้องชายสวี่…”
นางไม่มีทางเชื่อตั้งแต่แรกอยู่แล้วว่าตระกูลซ่งจะไม่ชอบน้องสาวตน รู้สึกมีเพียงน้องสาวตนเท่านั้นที่ไม่ชอบผู้อื่น
เรื่องราวกลับตาลปัตรไปอย่างรวดเร็ว ตอนนั้นนางเองก็รู้สึกยากที่จะยอมรับ
เฉิงฉือชำเลืองมองโจวชูจิ่นครั้งหนึ่ง
ไม่ว่าจะพูดอย่างไร เฉิงสวี่ก็เป็นหลานชายของเขา เริ่มแรกที่โจวเสาจิ่นต้องจากเมืองจินหลิงมาก็เพราะเฉิงสวี่ และตอนนี้ก็เพราะเฉิงสวี่ทำให้หวาดกลัวการแต่งงานอีก…ไม่แปลกที่โจวชูจิ่นจะพูดจาติดๆ ขัดๆ เช่นนี้
นางไม่รู้ความลับของโจวเสาจิ่น ดังนั้นจึงไม่อาจเข้าใจความชิงชังที่โจวเสาจิ่นมีต่อเฉิงสวี่ได้
เขาก็คิดอยู่แล้วว่าจะต้องมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นที่บ้านแน่ๆ
ถ้าหากเสาจิ่นป่วยทางใจจริง ก็คงจะมาจากสาเหตุนี้
เขาคิดทบทวนทุกเรื่องเผื่อนางเอาไว้หมดแล้ว ลืมเพียงเรื่องนี้เรื่องเดียวเท่านั้น
เฉิงฉือรู้สึกเสียใจเป็นอย่างยิ่ง ตัดสินใจว่ารอพบหมอหลวงเฉาก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกที
“ตกลงว่าเป็นอะไรกันแน่นั้น รอให้หมอหลวงเฉาออกมาก็จะได้รู้กัน” เขาเอ่ยปลอบโยนโจวชูจิ่นด้วยอาการใจลอยเล็กน้อย กล่าวอีกว่า “เจ้ากลับห้องไปก่อนเถิด! รอให้ทางนี้วินิจฉัยออกมาได้แล้วข้าจะให้สาวใช้ไปบอกเจ้า”
เนื่องจากมีบุรุษจากข้างนอกอยู่ด้วย โจวชูจิ่นจึงไม่สะดวกจะรออยู่ตรงนี้ หันไปย่อกายให้เฉิงฉือ แล้วกลับไปที่ห้อง
ไม่นาน หมอหลวงเฉาก็ออกมา
เฉิงฉือรีบสาวเท้าออกไปต้อนรับ เอ่ยถามว่า “เป็นอย่างไรบ้าง”
การที่หมอหลวงเฉาเข้าไปอยู่ในวังหลวงได้นั้น แน่นอนว่าย่อมไม่ใช่คนที่รู้จักแต่รักษาโรคแต่ไม่เข้าใจเรื่องราวของคนบนโลกใบนี้
เขามองหลี่มามาที่เดินตามหลังเขามาครั้งหนึ่ง
เฉิงฉือเข้าใจความหมาย สั่งการหลี่มามาว่า “ไปเตรียมกระดาษและหมึกมาให้หมอหลวงเฉา”
หลี่มามาขานรับคำอย่างนอบน้อมแล้วถอยออกไป


VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน