“ทั้งที่เป็นเช่นนั้น เจ้าก็ไม่ยอมที่จะลองดูสักหน่อย ให้โอกาสตัวเองสักครั้งหนึ่งเลยหรือ” เฉิงฉือเอ่ยถามเสียงเบา
โจวเสาจิ่นก้มหน้าก้มตาลง ปฏิเสธคำแนะนำของเขาด้วยความเงียบ
เฉิงฉือถอนหายใจยาวออกมาครั้งหนึ่ง พลางลุกขึ้นยืน “ข้าเข้าใจแล้ว”
เตรียมจะกล่าวขอตัวลา
โจวเสาจิ่นดึงแขนเสื้อของเฉิงฉือเอาไว้อย่างร้อนรน
คำว่าเข้าใจแล้วของท่านน้าฉือ ที่ผ่านมาล้วนมิใช่การเห็นด้วย แต่ในใจยังคงยืนยันเช่นเดิมต่างหาก
“ข้า…ข้าไม่แต่งงานเจ้าค่ะ” นางมองเขา นัยน์ตาเผยแววขอร้องออกมา “ท่านรับปากว่าจะให้ข้าถือศีลอยู่ในบ้าน ข้าจะเชื่อฟัง หากรู้สึกว่าปฏิบัติต่อไปไม่ไหว ก็จะไม่เป็นแม่ชีแล้ว”
ก่อนจะออกบวช ต้องถือศีลอยู่ที่บ้านก่อนสักสองสามปี ซึ่งก็ต้องเคร่งครัดในระเบียบปฏิบัติไม่ต่างจากคนที่จะแต่งงาน รอให้จิตใจสงบไม่รู้สึกเสียใจภายหลังได้แล้ว ถึงจะปลงผมออกบวชได้
ถึงเวลานั้นย่อมไม่อาจเสียใจภายหลังได้แล้ว
นางทราบความคิดของท่านน้าฉือดี
กลัวว่านางจะไม่รู้ถึงความยากลำบากของการออกบวชแล้วจะอดทนต่อไปไม่ได้
เฉิงฉือจะทำใจปล่อยให้นางออกบวชจริงๆ ได้อย่างไร!
เขามองเส้นผมดำเงางามนุ่มลื่นดุจเส้นไหมของนาง ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ทว่าก็ยังคงลูบศีรษะนางเบาๆ กล่าวเสียงค่อยว่า “ข้าเข้าใจแล้ว ลองถือศีลอยู่ที่บ้านไปก่อน”
โจวเสาจิ่นยิ้มออกมา
เหมือนกับดวงตะวันที่แย้มใบหน้าออกมาจากก้อนเมฆที่แตกซ่านกระเซ็น แย้มยิ้มอย่างสดใสและแพรวแพรว ภายในห้องราวกับดูสดใสตามไปด้วย
ในใจของเฉิงฉือเองก็รู้สึกเบิกบานตามขึ้นมาด้วย
เอาเถิดๆ
ก็มิใช่ว่าจะเลี้ยงดูนางไม่ได้
นางยอมถือศีลอยู่ในบ้านก็ถือศีลอยู่ในบ้านก็แล้วกัน ขอเพียงนางมีความสุขก็พอ
รอให้ถึงวันใดที่อยากแต่งงานแล้ว ค่อยหาคู่ครองดีๆ ให้นางสักคนก็ยังไม่สาย
ถึงแม้เจี้ยหยวนอายุน้อยจะไม่ได้พบเห็นได้บ่อยๆ แต่จิ้นซื่ออายุน้อยก็ใช่ว่าจะไม่มี
หากไม่ได้จริงๆ แต่งให้จวี่เหรินสักคน เขาช่วยกำกับดูแลดีๆ สักสองสามปี สอบจิ้นซื่อให้ได้ก็ได้แล้ว
เฉิงฉือถอนหายใจเบาๆ พร้อมกับส่ายศีรษะ เอ่ยขึ้นว่า “ไม่ต้องกินยาแล้ว และก็ไม่ต้องแสร้งป่วยแล้วด้วย ดูเอาเถิดทำให้มารดาเลี้ยงของเจ้าตกใจแทบแย่ ต่อไปห้ามทำเสมือนกับว่าตัวเองไม่สำคัญเช่นนี้อีก เข้าใจหรือไม่”
โจวเสาจิ่นยิ้มตาหยีพร้อมกับพยักหน้า
รู้สึกเพียงว่าฟ้าหลังฝนนั้นไม่ว่าอะไรก็ช่างดีไปหมด
เห็นได้ชัดว่าเรื่องพวกนี้ยังไงก็ต้องไปหาท่านน้าฉือให้ช่วย!
นางไปส่งเฉิงฉือที่ประตูอย่างเบิกบานใจ
ทว่าเฉิงฉือกลับยืนนิ่งอยู่ข้างประตู กล่าวยิ้มๆ ว่า “เจ้าไม่ต้องส่งข้าแล้ว หลี่มามาคนข้างกายของมารดาเลี้ยงของเจ้าผู้นั้นยังรออยู่ในลานบ้านเพื่อต้มยาให้เจ้าอยู่!”
โจวเสาจิ่นหน้าแดง
เฉิงฉือยิ้ม เดินออกจากห้องโถงไปอย่างรวดเร็วและเงียบเชียบ
แสงเรืองรองยามโพล้เพล้อาบทั่วท้องฟ้า สะท้อนแสงสีแดงทั่วทั้งลานบ้านผืนน้อย ในอากาศเจือกลิ่นหอมสดชื่นของต้นไม้ใบหญ้า ยังมีดอกพุทธรักษาที่กำลังบานสะพรั่งอย่างเบิกบานนั่นอีก ทำให้เขาบังเกิดความรู้สึกเงียบและสงบขึ้นมาในทันใด
เฉิงฉืออดไม่ได้หันศีรษะกลับมา
โจวเสาจิ่นกำลังยืนมองส่งเขาอยู่ที่ปากประตู
นางพิงอยู่ตรงขอบประตู มองเขาด้วยหยาดน้ำตาร่วงหล่น สีหน้าดูสิ้นหวังและเป็นทุกข์ ประหนึ่งกล้วยไม้บริสุทธิ์ที่กำลังจะสิ้นใจตายต้นหนึ่ง ที่งดงามแต่ก็เศร้าสร้อย ทว่าเมื่อมองเห็นเขาก็ยืดกายยืนตรงขึ้นมาในทันที เผยรอยยิ้มงดงามออกมา ราวกับกำลังบอกเขาว่า ข้าไม่เป็นไร ท่านไปเถิด ไม่ต้องเป็นห่วง อยู่ก็ไม่ปาน…
ทันใดนั้นหัวใจของเฉิงฉือราวกับถูกบีบอัดจนแน่นไปหมด
เขานึกถึงอาการหวาดกลัวและกระวนกระวายของนางตอนเจอนางครั้งแรกที่ศาลาซานจือ นึกถึงอากับกิริยาการวางพู่กันในมือลงอย่างระมัดระวังตอนเจอนางเป็นครั้งที่สอง นึกถึงรอยยิ้มขัดเขินของนางตอนอยู่บนเรือ นึกถึงร่างประหนึ่งลูกปักษาที่เริงร่าอยู่บนหาดทรายของแม่น้ำเฉียนถัง นึกถึงนางที่คุยใหญ่คุยโตตอนที่ดึงหมากกลับไป…เขาราวกับมองเห็นดอกไม้ดอกหนึ่ง ที่กำลังเบ่งบานอย่างเงียบๆ อยู่ในอุ้งมือของเขา แต่ก็ดูเศร้าสร้อยคล้ายจะเหี่ยวเฉาในอีกไม่ช้า
นี่คือผลลัพธ์ที่เขาต้องการหรือ
นี่คือการปกป้องที่เขาให้นางอย่างนั้นหรือ
เฉิงฉือหมุนกาย ก้าวเท้ายาวเดินตรงไปหาโจวเสาจิ่น
สายลมเป่าผ่านใบหูของเขา เสียงชีพจรดังตุบตุบดุจตีกลอง
“เสาจิ่น!” เขาคว้าร่างอันนุ่มนิ่มของเด็กสาวผู้นั้น กดนางกับบานประตู
แสงอาทิตย์ยามเย็นส่องทะลุเข้ามาทางช่องหน้าต่างลายหกเหลี่ยมที่แปะกระดาษสีขาวเอาไว้ เครื่องประดับทองบนศีรษะของนางเปล่งประกายระยิบระยับเรืองรอง
เขาครอบครองริมฝีปากของนางอย่างฮึกเหิม มือลูบไล้ไปตามเรือนร่างที่แม้ยังไม่เจริญเต็มที่ทว่าก็งดงามหยดย้อยนั้นไปด้วย
โจวเสาจิ่นบื้อใบ้ไปแล้ว
ท่านน้าฉือกลายเป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไร
เขาทำกับตนเช่นนี้ได้อย่างไร
เหมือนกับเฉิงสวี่…
หยดน้ำตาจึงไหลลงมาเป็นสายไม่หยุด
แต่ว่าก็ไม่เหมือนกับตอนเฉิงสวี่…
ตอนเฉิงสวี่นั้น นางดิ้นรนสุดชีวิต ทั้งเตะและต่อยทุกทาง
ท่านน้าฉือกอดนางเอาไว้ นางไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัว
แม้กระทั่งตอนที่เขาละเลียดไปตามริมฝีปากของนาง นางก็ล้วนไม่กล้ากัดเขา…ยังมีมือของเขาอีก ที่เกือบจะสอดเข้าไปในสาบเสื้อของนางอยู่แล้ว…ฝ่ามือร้อนเป็นไฟประหนึ่งจะเผาไหม้แล้วก็ไม่ปาน แม้จะมีเสื้อผ้าขวางกั้นไว้นางก็ยังคงสัมผัสได้ถึงความร้อนระอุนั้น…ทำให้นางอับอายจนอยากจะเป็นลมล้มพับลงไปเสีย…
ท่านน้าฉือทำกับนางเช่นนี้ได้อย่างไร
นางสะอื้นไห้ออกมา
VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน