โจวเสาจิ่นได้ยินแล้วก็อดค่อนขอดอยู่ในใจไม่ได้ว่า ปลูกดอกทับทิมอะไรกัน ไม่รู้ว่าเป็นความคิดของผู้ใด ที่นี่ของนางมิใช่บ้านหลังใหม่ของภรรยาสาวของผู้ใดสักหน่อย จะอยากได้ความมั่งคั่งบุตรชายและความสุขไปทำไม นางจะต้องย้ายดอกทับทิมต้นนั้นออกไปปลูกที่อื่นในสักวันหนึ่งให้ได้ แล้วเปลี่ยนเป็นไห่ถังแคระแทน
ชาติก่อนนางเคยติดตามหลินซื่อเซิ่งเข้าวังไปเข้าเฝ้าหลินไท่เฟย ตอนที่เดินผ่านสวนดอกไม้ของวังหลวงจึงเคยเห็นไห่ถังแคระมาก่อน
ชูช่อท้าลม ดอกตูมเป็นสีแดงเรื่อ ดอกบานสีสว่างสดใส คล้ายแต้มเป็นจุดๆ ด้วยสีชาด ทั้งมีกลิ่นหอมและดูงดงาม
เวลานั้นนางคิดจะปลูกสักต้นหนึ่ง
เพียงแต่ว่าไห่ถังแคระนั่นหายากยิ่งนัก นางไปหาซื้อที่เฟิงไถหลายต่อหลายครั้งก็หาไม่ได้ คนปลูกดอกไม้ให้นางทิ้งที่อยู่เอาไว้ รอให้มีของแล้วจะแจ้งให้นางทราบ แต่ตอนนั้นนางยังแทบจะเอาตัวเองไม่รอด ไหนเลยจะกล้าเพ้อคิดอย่างอื่น ได้แต่กล่าวขอบคุณคนปลูกดอกไม้ผู้นั้นแล้วจากไปอย่างเศร้าสร้อยใจ
ชาตินี้ไม่ว่าอย่างไรนางก็ต้องปลูกไห่ถังแคระสักต้นให้ได้ถึงจะถูก
โจวเสาจิ่นไม่ได้นอนมาทั้งคืน ตื่นขึ้นมาในตอนเช้าก็ดื่มน้ำเต้าหู้ไปเพียงครึ่งถ้วยเท่านั้น พออยู่พูดคุยกับโจวชูจิ่นและหลี่ซื่อได้ครู่หนึ่งก็มีเหงื่อเย็นผุดออกมาเต็มหน้าผาก โชคดีที่เนื่องจากกวนเกอยังเป็นเพียงทารกโจวชูจิ่นกลัวว่าเขาจะโดนลมจึงไม่กล้าพาเขาออกมาด้วย เมื่อเห็นว่าโจวเสาจิ่นอยู่สุขสบายดีทุกอย่างแล้วจึงลุกขึ้นกล่าวอำลา
เมื่อหลี่ซื่อและโจวเสาจิ่นไปส่งโจวชูจิ่นถึงหน้าประตู ท่านหมอก็มาถึง
โจวเสาจิ่นจำต้องกลับไปที่ห้องใหม่อีกครั้ง ไล่บ่าวรับใช้ภายในห้องออกไป มีฝานหลิวซื่อและหลี่มามาอยู่เป็นเพื่อน กั้นเอาไว้ด้วยผ้าม่าน บนมือมีผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งวางคลุมเอาไว้ให้ท่านหมอผู้นั้นจับชีพจร
ท่านหมอผู้นั้นอายุประมาณห้าสิบปี เลี้ยงหนวดเคราแพะเอาไว้ จับชีพจรข้างซ้ายแล้วก็จับข้างขวา จับชีพจรข้างขวาแล้วก็จับข้างซ้าย พูดด้วยภาษาเก่าแก่อะไรบางอย่างอยู่ครึ่งค่อนวันคนในห้องล้วนฟังไม่เข้าใจ เขียนเทียบยาบำรุงเลือดลมและจิตใจให้หนึ่งเทียบแล้วก็จากไป
ชุนหว่านให้ฝานฉีไปผสมยาตามนั้นมา ทว่าไม่กล้าให้โจวเสาจิ่นดื่ม แสร้งทำเป็นว่าเอายาไปต้ม ทว่ากลับแอบเอาไปเททิ้งในป่าไผ่ด้านหลังเรือน เป็นโจวเสาจิ่นที่ถูกพลิกตัวกลับไปกลับมาจนยิ่งรู้สึกเวียนศีรษะมากขึ้น ไม่รอให้ฝานฉีผสมยามาให้ก็ล้มตัวลงไปนอนพักก่อนแล้ว ไม่นานดวงหน้าก็แดงก่ำ ร่างกายร้อนจัดดั่งน้ำเดือด
ผ้าม่านห้อยลงมาครึ่งหนึ่ง ชุนหว่านและคนอื่นๆ จึงไม่ได้สังเกตเห็น
ตกบ่ายเมื่อเฉิงฉือกลับมา พ่อบ้านเซี่ยงรีบรายงานเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงเช้าให้เฉิงฉือฟัง
สีหน้าของเฉิงฉือเปลี่ยนเล็กน้อย มุ่งหน้าตรงไปที่เรือนชั้นในโดยไม่คิด
ไหวซานเองก็สีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อยเช่นกัน
นับตั้งแต่เฉิงฉืออายุสิบหกปีเป็นต้นมาก็ไม่เคยวู่วามเช่นนี้มาก่อน
เขาจึงกระแอมไอเบาๆ เสียงหนึ่ง เอ่ยเสียงเบาว่า “นายท่านสี่ พรุ่งนี้เป็นวันสรงน้ำองค์พระโพธิสัตว์แล้ว เนื่องจากต้ากูไหน่ไนมาหาในช่วงเช้า จะต้องพูดถึงเรื่องของวันสรงน้ำองค์พระโพธิสัตว์อย่างแน่นอน ไม่รู้ว่าคุณหนูรองและต้ากูไหน่ไนมีแผนการอย่างไรบ้าง ท่านว่าควรจะไปสอบถามดูสักหน่อยหรือไม่ นายท่านสี่ไม่มีบ่าวหญิงข้างกาย ข้าและคนอื่นๆ ยิ่งไม่เข้าเรือนชั้นใน เกรงว่าเรื่องนี้ท่านคงต้องไปสอบถามด้วยตัวเองสักครั้งหนึ่งแล้วขอรับ!”
เฉิงฉือหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้ กล่าวขึ้นอย่างมีนัยแฝงว่า “ไหวซาน ข้าค้นพบว่าบางครั้งเจ้าก็ช่างรู้จักพูดยิ่งนัก”
คำชมนี้ทำให้ไหวซานสำลักจนกระแอมไอออกมา
เฉิงฉือถึงได้ยกเท้าก้าวเข้าไปในเรือนชั้นใน
พ่อบ้านเซี่ยงถือโอกาสตอนที่เฉิงฉือและไหวซานกำลังคุยกันนั้นสั่งให้ป้ารับใช้มีไหวพริบผู้หนึ่งไปแจ้งที่เรือนชั้นใน หลี่ซื่อจึงกลับไปที่เรือนปีกตะวันออก
เฉิงฉือครุ่นคิด ตัดสินใจกล่าวทักทายหลี่ซื่อสักคำที่ด้านนอกผ้าม่านของเรือนปีกตะวันออก และเอ่ยถามถึงเรื่องวันสรงน้ำองค์พระโพธิสัตว์ตามมารยาทว่า “…ถ้าหากทางด้านของต้ากูไหน่ไนไม่มีแผนอะไร ท่านมิสู้ร่วมทางไปกับพวกข้า เนื่องจากก่อนหน้านี้ข้ารับปากเสาจิ่นเอาไว้ว่าจะไปเดินงานวัดเป็นเพื่อนนาง ป้ารับใช้สำหรับคุ้มกันความปลอดภัยก็จัดเตรียมเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ถึงเวลาท่านเพียงพาคุณหนูสามติดตามไปกับพวกข้าด้วยก็ได้แล้ว หากว่าท่านอยากไปที่ใด ก็ให้ป้ารับใช้คนคุ้มกันความปลอดภัยไปกับท่านด้วยก็ได้แล้ว”
แม้นหลี่ซื่อจะเป็นมารดาเลี้ยงของโจวเสาจิ่น แต่นางก็เป็นเพียงสตรีที่มีอายุเพียงยี่สิบกว่าปีเท่านั้น อีกทั้งเนื่องจากแต่งงานกับคนที่อายุมากกว่าตัวเองสิบกว่าปีอย่างโจวเจิ้น จำต้องรักษากิริยาให้สงบเสงี่ยมและรอบคอบอย่างที่สุดในทุกๆ อย่าง ตอนนี้พอได้ยินว่าออกไปเดินเที่ยวงานวัดได้ นอกจากนี้ไม่ว่าอยากจะเดินไปที่ไหนก็เดินไปได้ตามใจชอบอีกด้วยแล้ว หัวใจดวงนี้ก็รู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้นมา กล่าวขึ้นอย่างอดกลั้นไม่อยู่ว่า “ทำให้ท่านต้องลำบากแล้ว เรื่องนี้ประเดี๋ยวรอให้ข้าหารือกับคุณหนูรองก่อนแล้วค่อยบอกท่านอีกทีก็แล้วกันเจ้าค่ะ”
เฉิงฉือแสดงออกกับหลี่ซื่ออย่างเคารพอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนหน้านี้ เอ่ยขึ้นว่า “ได้ยินว่าเสาจิ่นไม่สบาย ข้ากำลังจะไปดูนางสักหน่อยพอดี เช่นนั้นข้าจะช่วยถามนางให้ท่านก็แล้วกัน!”
หลี่ซื่อยิ้มพร้อมกับกล่าวขอบคุณ
เฉิงฉือเดินไปที่เรือนหลัก
หลี่มามากระซิบถามเสียงเบาว่า “ฮูหยิน เช่นนี้จะเหมาะสมหรือเจ้าคะ”
“มีอะไรไม่เหมาะสมกัน” หลี่ซื่อมิได้คิดอะไรมาก กล่าวขึ้นว่า “ไม่ว่าจะกล่าวอย่างไร นี่ก็เป็นบ้านของนายท่านสี่ วันนี้เสาจิ่นไม่สบาย นายท่านสี่ตระกูลเฉิงจะไม่ไปดูเลยได้อย่างไร”
แต่ก็ดีมากเกินไปสักหน่อยกระมัง
หลี่มามาพึมพำอยู่ในใจ แต่เมื่อได้ยินหลี่ซื่อกล่าวเช่นนั้น ก็โยนความคิดนั้นทิ้งไปเสีย
เฉิงฉือเข้าไปในห้องนอน ปี้เถาที่นั่งทำงานเย็บปักขณะนั่งเฝ้าโจวเสาจิ่นอยู่หน้าผ้าม่านรีบลุกขึ้นมาในทันใด ทิ้งงานเย็บปักในมือลงในตะกร้าสานที่อยู่บนพื้นแล้วยอบกายพร้อมกับขานคำหนึ่งว่า “นายท่านสี่”
“คุณหนูรองเป็นอย่างไรบ้าง” เฉิงฉือลังเลว่าควรจะเลิกผ้าม่านขึ้นมาดูสักหน่อยหรือไม่
ปี้เถากล่าวว่า “คุณหนูรองกินยาแล้วก็นอนพักได้ครู่หนึ่งแล้วเจ้าค่ะ”
เฉิงฉือมองผ้าม่านที่แขวนอยู่อย่างสงบเงียบนั้น ทั้งๆ ที่รู้ว่าตนไม่ควรจะยืนอยู่ที่นี่ต่อไปอีก แต่เท้าคู่นี้ราวกับถูกยึดเอาไว้แน่น ไม่อยากจากไป
เขาจึงเอ่ยถามถึงโจวเสาจิ่นขึ้นมา “ได้ยินว่าน้ำมันเคลือบเงาสดทำให้หน้าบวม อาการบวมเป็นอย่างไร เทียบยาของท่านหมออยู่ที่ใด เอามาให้ข้าดูหน่อย”
ปี้เถารีบไปหยิบเทียบยามาให้
เฉิงฉืออ่านอย่างละเอียด ยิ่งอ่านหัวคิ้วก็ยิ่งขมวดเข้าหากันมุ่นยิ่งขึ้น
เงยหน้าขึ้นก็พบกับฝานหลิวซื่อและซางมามาที่เร่งเข้ามาหลังจากที่ได้รับข่าวแล้ว
น้ำเสียงของเขาเคร่งขรึมดุดันขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ “เหตุใดถึงไม่เอาป้ายชื่อของข้าไปเชิญหมอหลวงเฉาเข้ามา นี่เป็นหมอที่ไปหามาจากตรอกซอกซอยไหนกัน”
VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน