บ่าวจากบ้านเดิมที่เฉิงเจิงส่งกลับไปจินหลิงเพื่อสืบข่าวเขียนจดหมายมาแจ้งนางว่า ฮูหยินกับคนของจวนรองและจวนสามทะเลาะกันขึ้นมา นอกจากจะเลื่อนงานแต่งงานกับตระกูลหมิ่นที่เดิมกำหนดไว้ช่วงเดือนเก้าออกไปเป็นเดือนสองปีหน้าแล้ว ยังป่าวประกาศว่าต้องการจะแยกตระกูลจากซอยจิ่วหรู
ตระกูลเฉิงทั้งนายและบ่าวประท้วงกันส่วนหนึ่ง
ทว่าท่านผู้นำตระกูลจากจวนรองกับฮูหยินผู้เฒ่ากัวต่างนิ่งเงียบไม่เคลื่อนไหว
ซอยจิ่วหรูกลับลอบลือกันว่า นายท่านใหญ่จากจวนหลักเข้าสู่ราชสำนักแล้วก็ทำตัวไร้สาระขึ้นมา ถ้อยคำอะไรล้วนกล้าพูด เรื่องอะไรล้วนกล้าทำ ท่านผู้นำตระกูลจากจวนรองก็เคยอยู่ในราชสำนักมาก่อนมิใช่หรือ แต่เขาได้พูดอะไรบ้างหรือไม่ นอกจากจะไม่ได้พูดอะไรเลย ยังดูแลคนในตระกูลโดยไม่พูดบ่นคำใด เมื่อนึกถึงตอนเริ่มแรก จวนหลักเองก็ได้รับความเอื้อเฟื้อจากท่านผู้นำตระกูลของจวนรองมาไม่น้อยมิใช่หรือ บัดนี้ท่านผู้นำตระกูลจากจวนรองชราวัยแล้ว คุณชายใหญ่ของจวนรองแม้อายุยังน้อยก็สอบได้ยศจวี่เหรินแล้ว ทว่าแม้นประสบความสำเร็จแล้วแต่ยังคงต้องไต่เต้าต่อไป แม้ยามที่ต้องการให้จวนหลักค้ำจุนอุปถัมภ์ จวนหลักกลับประกาศว่าอยากจะแยกตระกูล… ฮูหยินหยวนผู้นี้เป็นเพียงสตรีในห้องหอผู้หนึ่ง หากว่าไม่มีการพยักหน้าอนุญาตจากนายท่านใหญ่จิง จะกล้าพูดถ้อยคำเหล่านี้ออกมาได้อย่างไร เห็นได้ว่าการแบ่งแยกตระกูลนั้นเป็นเรื่องเล็ก เกรงว่านายท่านใหญ่ของจวนหลักประสบความสำเร็จแล้วบีบคั้นคนของจวนรองถึงจะเป็นเรื่องจริง…
เฉิงเจิงหยุดหายใจ เบื้องหน้านางดับวูบ เป็นลมล้มพับลงไป
แม่นมผู้นั้นตกใจจนดวงหน้าเผือดสี ด้านหนึ่งก็ขยำจดหมายนั้นเป็นก้อนกลมแล้วยัดใส่ในเอี๊ยมบังทรงที่แนบติดตัว อีกด้านก็ตะโกนเรียกคนเสียงดัง ทั้งหยิกทั้งนวด นานครู่ใหญ่กว่าเฉิงเจิงจะค่อยๆ หายใจได้อีกที
โชคดีที่กู้ซวี่ไปสำนักว่าการ ส่วนบุตรชายทั้งสองกำลังเรียนตำรากับอาจารย์ในห้องหนังสือที่เรือนชั้นนอก
ส่วนบรรดาญาติตระกูลกู้คนอื่นๆ ต่างอาศัยที่เรือนฝั่งถนนตะวันออก จึงไม่ได้ทำให้ผู้อื่นแตกตื่นกันนัก
เฉิงเจิงส่งบ่าวที่รับใช้ข้างกายออกไป แล้วถามแม่นมว่าจดหมายอยู่ที่ใด
แม่นมล้วงจดหมายออกมาจากอก
เฉิงเจิงอ่านจดหมายฉบับนั้นใหม่อีกรอบอย่างละเอียด
นางยิ่งอ่านยิ่งหวาดกลัว ยิ่งอ่านยิ่งสับสน แล้วบอกให้แม่นมเผาจดหมายทิ้ง
แม่นมไม่รีรอชักช้า จุดเทียนแล้วเผาจดหมายต่อหน้าเฉิงเจิง
เฉิงเจิงถึงค่อยรู้สึกโล่งใจ เอนอิงหัวเตียงขณะครุ่นคิดนานครึ่งค่อนวัน แล้วกล่าวขึ้นว่า “เจ้าไปบอกพ่อบ้านที่เรือนชั้นนอกว่าให้จัดเตรียมรถม้าให้ข้าที ข้าจะรีบไปซอยซิ่งหลิน หากว่าเรื่องนี้ก่อให้เกิดความวุ่นวายขึ้นมาจริงๆ ละก็ เกรงว่าจะมีคนฉวยโอกาสบริภาษท่านพ่อ ต้องรีบขบคิดแผนการรับมือสักแผนหนึ่งให้ได้”
เพียงแต่พวกนางไม่มีอำนาจจัดการได้ ไม่เข้าใจสถานการณ์ในจินหลิงอย่างถ่องแท้ มิอาจโต้ตอบกลับไปอย่างทันท่วงที
ท้ายที่สุดเรื่องนี้ยังคงต้องให้บิดาออกหน้าให้
แม่นมผ่านเรื่องต่างๆ กับเฉิงเจิงมาไม่น้อย เป็นผู้ที่จิตใจประหนึ่งกระจกผู้หนึ่ง พอได้ยินแล้วก็พยักหน้าทันที เรียกสาวใช้เข้ามาปรนนิบัติเฉิงเจิงล้างหน้าแต่งตัว ส่วนตนเองรีบสาวเท้าออกไปเรือนชั้นนอก
เฉิงเจิงให้สาวใช้ปรนนิบัติตนเองด้วยใจเหม่อลอย ทว่าในใจกลับใคร่ครวญครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่ตลอด
ถ้าหากข่าวที่บ่าวรับใช้จากบ้านเดิมได้ยินมาเป็นเรื่องจริง ประการแรกการที่ท่านผู้นำตระกูลจากจวนรองกับท่านย่านิ่งเงียบก็ชวนให้ผู้คนต้องขบคิดด้วยตัวของมันเองอยู่แล้ว
ประการที่สองคือมารดา นางมิใช่เป็นผู้ที่ไม่มีความรู้เช่นนั้น เรื่องแบ่งแยกตระกูลประเภทนี้ หากจะกล่าวให้เป็นเรื่องเล็กก็คือเห็นแก่ตัว หากจะกล่าวให้เป็นเรื่องใหญ่ก็คือประสบความสำเร็จแล้วลืมรากเหง้าตระกูลตนเอง ดังนั้นผู้ใดที่เอ่ยถึงการแยกตระกูลผู้นั้นก็ต้องถูกคนตราหน้า นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมตระกูลใหญ่โตที่ไม่รู้ว่าคนในตระกูลมากน้อยเพียงใดใช้ชีวิตอยู่อย่างไม่มีความสุขทว่าต่างทำได้แต่อดทนอดกลั้นเอาไว้นั่นเอง ตระกูลหยวนซึ่งเป็นตระกูลเดิมกับตระกูลฟางซึ่งเป็นตระกูลฝั่งมารดาของมารดาต่างเป็นตระกูลใหญ่โตเช่นนั้น ยิ่งกว่านั้นบิดาเพิ่งจะเข้าสู่ราชสำนักได้ไม่นาน ยังไม่มีที่ยืนที่มั่นคง มิอาจต้านทานกระแสทิศทางลมที่เปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยได้เลย ถ้าหากชื่อเสียงว่าเป็นคนอกตัญญูลืมคุณคนถูกแพร่ออกไป เส้นทางขุนนางนี้คงจะถึงจุดจบ มารดาควรจะรู้ดีถึงจะถูก เหตุใดมารดาถึงต้องประกาศจะแยกตระกูลในเวลานี้ด้วยเล่า
บวกกับข่าวลือเหล่านั้นในซอยจิ่วหรู คล้ายกับขุ่นเคืองแทนจวนรอง เสมือนเข็มที่ซ่อนอยู่ในผ้า ทุกด้านล้วนหันเข็มเข้าหาจวนหลัก ทุกถ้อยคำล้วนตำหนิจวนหลัก นางไม่เชื่อว่านี่เป็นเรื่องบังเอิญ!
แม่นมจัดการทุกอย่างได้อย่างรอบคอบยิ่ง ไม่รอให้เฉิงเจิงผัดหน้าแต่งตัวเสร็จ นางก็เข้ามาแจ้งแล้วว่า “รถม้าเตรียมพร้อมแล้ว ข้ายังให้พ่อบ้านส่งคนล่วงหน้านำความไปแจ้งซอยซิ่งหลินด้วยเจ้าค่ะ”
หากทำเช่นนี้ ถ้าเกิดเฉิงจิงไม่อยู่บ้าน คนของซอยซิ่งหลินก็ไปเรียกเฉิงจิงกลับมาได้
เฉิงเจิงพยักหน้าด้วยใบหน้าดำดิ่งดั่งน้ำลึก เรียกสาวใช้ใหญ่เข้ามากำชับในทำนองว่า ต้องดูแลคุณชายใหญ่กับคุณชายรองให้ดี หากนายท่านกลับมาแล้วก็ปรนนิบัติท่านรับประทานอาหารก่อนเลย ไม่ต้องรอข้ากลับมา จากนั้นจึงพาแม่นมไปซอยซิ่งหลิน
เฉิงจิงไม่อยู่ตามคาด
มีบ่าวเด็กนำความไปแจ้งที่สำนักว่าการ
ผ่านไปเพียงสองก้านธูป เฉิงจิงก็เดินทางกลับจวนแล้ว
เฉิงเจิงก้าวไปทำความเคารพบิดา แล้วอดสำรวจบิดาอย่างละเอียดไม่ได้
ปีนี้เฉิงจิงอายุห้าสิบสามปี รูปร่างสูงใหญ่ผึ่งผาย ใบหน้าหล่อเหลานุ่มนวล ท่าทางสุภาพอ่อนโยนและสง่างาม เนื่องจากดูแลรักษาสุขภาพร่างกายดี จึงดูเหมือนเพียงอายุสี่สิบกว่าปีเท่านั้น ทุกท่วงท่าอิริยาบถเป็นสง่ายิ่ง
เมื่ออยู่ต่อหน้าบิดาเช่นนี้ เฉิงเจิงพูดอะไรไม่ออก
บิดาอนุญาตให้มารดาประกาศจะแยกตระกูลได้อย่างไร

VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน