“ทำเช่นนี้เหมาะสมหรือเจ้าคะ” เฉิงเจิงโพล่งถาม
“มีอะไรที่เหมาะสมหรือไม่เหมาะสมเล่า” เฉิงจิงตอบเสียงเย็น “พวกเราเองก็ถูกบีบคั้นจนถึงจุดนี้แล้วเหมือนกัน”
เฉิงเจิงเงียบงัน
เฉิงจิงโปรดปรานบุตรสาวคนโตคนนี้ที่สุด กอปรกับลูกเขยมีความสามารถยวดยิ่ง คาดว่าคงจะประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานในอีกไม่ช้า พอเห็นว่าบุตรสาวคนโตมิได้มีท่าทางเห็นด้วยทั้งหมด เขาก็ครุ่นคิด แล้วตัดสินใจเล่าเรื่องข้อพิพาทกับจวนรองในอดีตเหล่านั้นให้นางฟัง หลีกเลี่ยงไม่ให้นางคิดว่าตนตอบแทนคุณด้วยโทษ และไม่รู้จักสำนึกบุญคุณคน “เจิงเอ๋อร์ เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดอาสี่ของเจ้ามิอาจเข้ารับราชการได้”
เฉิงเจิงมองบิดาอย่างตกตะลึง
นี่ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่นางไม่เข้าใจมาโดยตลอด
กิจการของตระกูลเฉิงสำคัญถึงเพียงนั้นเชียวหรือ
ถึงขั้นบีบบังคับมิให้จิ้นซื่อขั้นสองคนหนึ่งรับราชการได้!
ตอนที่บิดากับท่านอารองถูกคนซักถามก็มักจะตอบไปว่าเป็นเพราะท่านอาสี่มิอาจทนทุกข์กับงานเอกสารของทางราชการได้ จึงไม่ยินยอมเป็นขุนนาง
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไฉนถึงต้องตรากตรำไปสอบเป็นจิ้นซื่อด้วยเล่า เป็นจวี่เหรินคนหนึ่งก็พอแล้วมิใช่หรือ
ด้วยเหตุนี้ ท่านอาสี่จึงกลายเป็นที่ขบขันในหมู่ตระกูลขุนนางเก่าแก่ของเจียงหนาน
พวกเขาคิดว่าท่านอาสี่ไม่ยอมเดินบนเส้นทางราชการดีๆ แต่ไปคบค้าสมาคมกับพ่อค้าที่ค้าขายจากทางเหนือและใต้เหล่านั้น โลภมากจนลืมตัว ประสบความสำเร็จแล้วลืมรากเหง้าตระกูลของตนเอง ทำตัวเรื่อยเฉื่อย… ตอนที่ท่านอาสี่สอบผ่านได้ยศจิ้นซื่อพวกเขาจะต้องคาดไม่ถึงเป็นแน่!
อย่างไรก็ตาม หากว่าท่านอาสี่มิได้สอบผ่านเป็นจิ้นซื่อ เกรงว่าก็คงมิได้รู้สึกเบาใจไปกว่านี้หรอก
ผู้ใดจะมองคนสามัญธรรมดาคนหนึ่งที่ไม่มีชื่อเสียงความสำเร็จอยู่ในสายตาเล่า
ช่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออกจริงๆ
ชั่วแล่นนั้นนางถึงได้ตระหนักว่าสถานการณ์ของเฉิงฉือนั้นน่าอึดอัดมากเพียงใด
“เหตุใดท่านอาสี่ถึงไม่รับราชการเจ้าคะ” เฉิงเจิงอดพึมพำถามไม่ได้
สีหน้าของเฉิงจิงดูเยือกเย็นยิ่งขึ้น กล่าวเบาๆ ว่า “ตอนนั้นปู่ของเจ้าอยู่ในช่วงชีวิตที่รุ่งโรจน์ แต่กลับล้มป่วยติดเตียง เหลือวันเวลาไม่มากนัก ทว่าตลอดเวลานั้นเฉิงซวี่กลับไม่เคยปรึกษาเรื่องอนาคตของพวกลูกหลานกับปู่ของเจ้าเลย ไม่ง่ายเลยกว่าจะเชิญเฉิงซวี่มาได้ เขามักจะหาข้ออ้างสารพัด ประเดี๋ยวก็อ้างว่าความเจ็บป่วยของท่านพ่อจะหายดีในอีกไม่นาน ให้ปู่ของเจ้าอย่าตีตนก่อนไข้ไปเลย ประเดี๋ยวก็อ้างว่าตอนนี้หน้าที่การงานกำลังลำบาก สถานการณ์ขององค์ฮ่องเต้ยังไม่แน่นอน อยู่ใกล้องค์ฮ่องเต้ก็เสมือนอยู่ใกล้เสือ ประเดี๋ยวก็อ้างว่าตนเบื่อที่จะต้อนรับขับสู้กับคนในราชสำนักนานแล้ว เดิมทีอยากจะให้ท่านพ่อลาออกจากราชการในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า มอบระเบียนประวัติตระกูลคืนให้แก่ปู่ของเจ้า ให้ปู่ของเจ้ารับผิดชอบนำความรุ่งโรจน์มาสู่ตระกูล… เพียงแต่ไม่ได้เอ่ยปากว่าต้องการวางแผนเรื่องในอนาคตอย่างไร ข้ากับอารองของเจ้าต่างรู้สึกสับสนงงงวย เป็นปู่รองของเจ้าที่ชี้ให้เห็นความจริง บอกปู่ของเจ้าว่า ครั้นปู่ของเจ้าเสียชีวิต ข้ากับอารองของเจ้าจะต้องกลับบ้านเดิมเพื่อไว้ทุกข์ การไว้ทุกข์นั้นเป็นเรื่องเล็ก แต่การเรียกตัวกลับไปรับราชการหลังออกทุกข์นั้นเป็นเรื่องใหญ่ หากว่าถูกวางแผนส่งตัวไปเป็นนายอำเภอในพื้นที่กันดารหรือถูกทิ้งให้อยู่ในตระกูลตลอดเวลานั้น ผ่านไปไม่กี่ปี ก็จะเปลี่ยนเป็นแผ่นดินใหม่ เกรงว่าข้ากับอารองของเจ้าจะถูกกลืนหายไปจากวงขุนนาง ตอนนั้นจึงได้แต่มองดูสีหน้าและการกระทำของเฉิงซวี่จริงๆ…”
เฉิงเจิงยากจะปกปิดความตะลึงพรึงเพริดได้!
บิดาถึงขั้นเรียกชื่อของท่านผู้นำตระกูลจากจวนรองตรงๆ แล้ว เห็นได้ว่าเรื่องนี้ทำให้บิดาโกรธเคืองมากเพียงใด!
นางจัดสาบเสื้ออย่างเคร่งขรึม
ทว่าเฉิงจิงกลับชะงักงัน แล้วกล่าวต่ออีกว่า “ปู่ของเจ้ากับปู่รองของเจ้าจึงนัดเฉิงซวี่มาพูดคุย เนื่องจากข้ากับอารองของเจ้ามีชื่อเสียงความสำเร็จแล้ว และเป็นผู้ใหญ่แล้ว ปู่ของเจ้าเลยเตรียมให้ข้ากับอารองของเจ้าแอบฟังอยู่ข้างหลังฉากกั้น…
…เฉิงซวี่กับปู่ของเจ้าพูดคุยอ้อมค้อมไปมา…
…ตอนนั้นปู่ของเจ้าป่วยหนักเกินเยียวยาแล้ว แม้แต่การพูดหรือกินก็ต้องใช้แรงมาก หากมิใช่เพราะเรื่องในภายหลังยังจัดการไม่เรียบร้อยดี เขาก็คงจากไปนานแล้ว” พูดถึงตรงนี้ ปลายหางตาของเฉิงจิงมีหยาดน้ำระยับวูบไหว “เขาไหนเลยจะยังมีเรี่ยวแรงมาติดต่อเฉิงซวี่บ่อยๆ ได้ ได้แต่ถามเฉิงซวี่ตรงๆ ว่าวางแผนเอาไว้อย่างไร เฉิงซวี่ถึงได้ตอบว่า ตระกูลเฉิงมีสมาชิกตระกูลน้อย เขาอยากให้อาสี่ของเจ้าดูแลกิจการหลังจากที่โตขึ้นแล้ว…
…ตอนนั้นพวกข้าต่างรู้สึกโล่งใจ…
…เวลานั้นอาสี่ของเจ้าอายุยังไม่ถึงเจ็ดขวบ กำลังอยู่ในวัยซุกซน ทำเรื่องปีนขึ้นเรือนแกะกระเบื้องหลังคาหรือกระโดดลงแม่น้ำจับปลาอยู่ไม่น้อย วันๆ ไม่เคยเห็นเขานั่งลงอ่านตำราดีๆ สักหน้าหนึ่งเลย ปู่ของเจ้ากลัวว่าหลังจากเขาจากไปแล้วจะไม่มีผู้ใดควบคุมอาสี่ของเจ้าได้ จึงสั่งเอาไว้แต่เนิ่นๆ ว่า ให้ข้ากับอารองของเจ้าดูแลอาสี่ของเจ้า ตราบที่ข้ายังมีชีวิตอยู่ไม่อนุญาตให้แยกตระกูล เมื่ออาสี่ของเจ้าโตขึ้นแล้วถ้าหากเขาปรารถนาจะศึกษาเล่าเรียนเพื่อรับราชการก็ดีไป หากปรารถนาจะเป็นเพียงชายหนุ่มที่รักอิสรเสรีคนหนึ่ง ก็มอบกิจการของจวนหลักให้เขาดูแลจัดการ หากเขาไม่อยากรับช่วงดูแลแม้แต่กิจการของจวนหลัก ก็ให้ข้ากับอารองของเจ้าจับตาดูเขาสักหน่อย อย่าปล่อยให้เขาก่ออาชญากรรมทำผิดกฎหมาย ทำลายชื่อเสียงของบรรพบุรุษก็พอแล้ว…
…การที่เฉิงซวี่เสนอให้อาสี่ของเจ้าดูแลกิจการของซอยจิ่วหรูหลังจากที่เขาโตขึ้นแล้ว เพียงเป็นการหาทางออกทางหนึ่งให้อาสี่ของเจ้า ข้ากับอารองของเจ้าต่างคิดว่าเฉิงซวี่เห็นว่าจวนหลักมีบุตรชายสามคน และกลัวจวนสามจะให้กำเนิดผู้คงแก่เรียนคนหนึ่งมาข่มจวนรอง คิดถึงท่าทางดื้อรั้นของอาสี่ของเจ้า จึงคิดว่าแผนการนี้ก็ไม่เลวเหมือนกัน…
…ทว่าปู่ของเจ้ากลับตรึกตรองอย่างละเอียดกว่าพวกข้า พอได้ยินแล้วไม่เพียงไม่ยินดี กลับย่นหัวคิ้วขณะถามเฉิงซวี่ว่าเขาหมายความว่าอะไร ยังบอกอีกว่ากลัวอาสี่ของเจ้าจะไม่เหมาะสม…
เฉิงซวี่หัวเราะออกมาแต่มิได้เอ่ยคำใด ลุกขึ้นมาแล้วขอตัวกลับไป…
…ปู่ของเจ้ากับปู่รองของเจ้าเองก็มิได้รั้งเขาไว้…
…ปรากฏว่าเขาสาวเท้าถึงประตูแล้วจู่ๆ ก็หมุนกายเอ่ยกับปู่ของเจ้าอีกว่า ไม่ว่าจะเป็นเขา ทวดของเจ้า หรือปู่ของเจ้าต่างมิได้มีคุณสมบัติทำการค้าขาย หลายปีมานี้ตระกูลล้วนอาศัยมรดกเก่าที่บรรพชนทิ้งเอาไว้ประคับประคองตัวอย่างยากลำบาก เพื่อชื่อเสียงของบรรพชน เขากระทั่งจัดเตรียมให้บุตรชายเพียงคนเดียวของเขาดูแลกิจการของตระกูล สุดท้ายก็เสียชีวิตไปขณะอายุยังน้อย เขาเป็นคนหัวหงอกที่ต้องส่งคนหัวดำไปก่อน เหลือเพียงเด็กกำพร้ากับแม่หม้ายที่ต้องดูแล… เขาทำทุกอย่างที่ทำได้ไปหมดแล้ว ในเมื่อคนของจวนหลักปรารถนาจะทุ่มเทรับราชการ ไม่ยอมจัดเตรียมคนมารับช่วงกิจการของตระกูล เช่นนั้นกิจการของตระกูลก็ให้จวนรองดูแลจัดการต่อไปแล้วกัน ในภายหน้านอกจากจะตัดสัมพันธ์กับจวนหลักแล้ว เขาก็จะย้ายจวนรองไปจิงเฉิงด้วย…
…แล้วกล่าวอีกว่า ข้าเกือบลืมไปแล้วว่า จวนหลักกับจวนรองแยกตระกูลจากกันมานานแล้ว!”
เฉิงเจิงได้ยินแล้วตกตะลึงตาค้าง อดถามไม่ได้ว่า “เขาเลอะเลือนไปแล้วกระมังเจ้าคะ เพียงแค่กิจการของตระกูลเท่านั้นเอง ตระกูลมากมายล้วนขอพ่อบ้านของตระกูลตนเองมาดูแลจัดการ ขอเพียงในตระกูลยังมีคนรับราชการ กิจการนี้ก็ดำรงอยู่ได้แล้ว ยิ่งกว่านั้น ใต้หล้าไม่มีเรื่องใดที่สมบูรณ์เพียบพร้อมทุกอย่าง เจ้ามิอาจทั้งเข้าสู่ราชสำนักและมีเงินทองเต็มมือได้หรอก ถ้าหากต้องการครอบครองยอดเขาทุกลูก เช่นนั้นจะให้คนอื่นใช้ชีวิตอยู่อย่างไรเล่า ปกติแล้วคนบนโลกใบนี้มักจะไม่กังวลเรื่องได้ส่วนแบ่งน้อยแต่จะกังวลเรื่องแบ่งสันปันส่วนอย่างอยุติธรรม แต่ไรมาขุนนางก็ทำมาค้าขายง่ายกว่าสามัญชน เหตุใดถึงแย่งชิงผลประโยชน์กับชาวบ้านด้วยเล่า นี่มิใช่ท่าทีที่ลูกหลานตระกูลบัณฑิตพึงมีเลยนะเจ้าคะ!”


VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน