เข้าสู่ระบบผ่าน

ยามดอกวสันต์ผลิบาน นิยาย บท 412

โจวเสาจิ่นไม่รู้เลยว่าที่ซอยจิ่วหรูในเมืองจินหลิงเกิดเรื่องมากมายถึงเพียงนี้ อาหารอันโอชา ถ้วยชามลายวิจิตร ทัศนียภาพแสนงดงาม ดนตรีไพเราะเสนาะหู บทสนทนาที่เป็นกันเอง และความสนใจที่จริงใจ ทำให้วันนั้นฮูหยินใหญ่เลี่ยวที่มาเป็นแขกที่ซอยอวี๋เฉียนรู้สึกได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นเสมือนอยู่ในบ้านของตนเอง นางเอ่ยชมการตระเตรียมของหลี่ซื่อกับโจวเสาจิ่นไม่หยุด อีกทั้งเหตุเพราะมีเรื่องของโจวชูจิ่น ฮูหยินใหญ่เลี่ยวจึงตั้งใจยกย่องหลี่ซื่อ นับแต่นั้นมาก็ไปมาหาสู่กับหลี่ซื่ออย่างสนิทสนม

หลี่ซื่อทั้งมีไหวพริบและใจกว้างขวาง เพียงไปเป็นแขกที่ซอยอวี๋ซู่ไม่กี่ครั้ง บรรดาญาติเหล่านั้นของฮูหยินใหญ่เลี่ยวที่มาเยี่ยมเรือนตระกูลเลี่ยวเมื่อเห็นหลี่ซื่อต่างก็เรียกนางว่า ‘ฮูหยินบ้านหลานสะใภ้’ อย่างกระตือรือร้นแล้ว หลี่ซื่ออดรู้สึกทอดถอนใจไม่ได้ กล่าวกับโจวเสาจิ่นเป็นการส่วนตัวว่า “สินเดิมของบุตรสาวยามออกเรือนนี่มีน้อยไม่ได้จริงๆ เครื่องประดับเหล่านั้นที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวมอบให้เจ้าเจ้าเก็บเอาไว้ดีกว่า อย่าตกเป็นรางวัลให้ผู้อื่นตามอำเภอใจอีกเลย อีกสองวันข้าจะไปเดินดูร้านเครื่องประดับกับเจ้า ทำเครื่องประดับทองแท้กับเงินแท้ให้เจ้าสักหน่อย หากเจ้าต้องการตกรางวัลให้ผู้อื่น ก็ใช้เครื่องประดับพวกนั้นมอบให้แทนแล้วกัน”

หลายวันก่อนนางเห็นชุนหว่านหยิบกำไลข้อมือหยกสีเขียวแวววาวมาวงหนึ่ง ทว่าหยกเนื้อใสนั้นกลับมิได้ด้อยไปกว่าจี้หยกที่นางมักจะสวมใส่ยามปกติ นางยังคิดว่าเป็นของโจวเสาจิ่น ปรากฏว่าชุนหว่านบอกว่าเป็นของที่โจวเสาจิ่นตกรางวัลให้นาง นางกลัวจะทำตกแตก แล้วรู้สึกเสียดาย ยามว่างจึงหยิบออกมาเชยชม นอกจากนี้โจวเสาจิ่นยังไม่หยุดแค่ตกรางวัลให้นางเป็นกำไลข้อมือหยกชิ้นหนึ่งเท่านั้น ยังมอบเครื่องประดับศีรษะรูปใบแปะก๊วยให้นางทั้งชุด ปิ่นปักผมฝังอัญมณีสองสามอัน และเครื่องประดับไข่มุกทะเลใต้สองคู่อีกด้วย… เกรงว่าแม้แต่คุณหนูตระกูลร่ำรวยทั่วไปก็ไม่มีเครื่องประดับที่มีค่าเท่าของนาง

ด้วยรายได้ของโจวเจิ้นนั้น แม้ว่าหลายปีมานี้จะพยายามเตรียมสินเจ้าสาวให้บุตรสาวทั้งสองคน แต่สุดท้ายกำลังทรัพย์ก็มีจำกัด เป็นไปได้ว่าของเหล่านี้คงจะเป็นของที่ฮูหยินผู้เฒ่าตกรางวัลให้ แล้วโจวเสาจิ่นก็มอบให้ชุนหว่านอีกที

หลี่ซื่อครุ่นคิดแล้วรู้สึกเป็นกังวล

โจวเสาจิ่นก้มหน้าหลุบตาขานรับอย่างเชื่อฟัง ทว่ามิได้เก็บเรื่องนี้มาใส่ใจ

มีชีวิตอยู่มาสองชาติภพ สิ่งใดสำคัญที่สุด นางย่อมรู้ดีแก่ใจเป็นธรรมดา การที่ชุนหว่านและฝานหลิวซื่อดีกับนาง ใช่ว่าจะวัดกันได้ด้วยเครื่องประดับไม่กี่ชิ้น เพียงแค่มอบของดีมีค่าให้พวกนาง และทำให้พวกนางมีความสุขเหมือนกันเท่านั้นเอง

แต่กระนั้น ตอนที่ไปเดินดูร้านเครื่องประดับกับหลี่ซื่อ นางยังเลือกเครื่องประดับเงินและทองหลายชิ้นอยู่ดี ของพวกนี้ไว้ใช้ตกรางวัลให้แก่พวกชุนหว่าน พวกนางจะได้ทำเป็นมรดกตกทอดของตระกูลต่อไป ถือเป็นของดูต่างหน้าเล็กๆ น้อยๆ ที่ชุนหว่านมอบแก่บุตรหลานรุ่นหลังต่อไป

นึกถึงตรงนี้ นางก็รู้สึกกลัดกลุ้มเล็กน้อยขึ้นมา

อีกไม่กี่ปีชุนหว่านก็ต้องออกเรือนแล้ว ชาติก่อนมิได้สนใจไยดีนางแม้แต่น้อย เรื่องแต่งงานของนางเป็นอย่างไรบ้างนะ

ระหว่างที่ใจลอยอยู่นั้น ก็มีคนวิ่งมาเรียกนางว่า “คุณหนูรอง”

โจวเสาจิ่นตกใจสะดุ้งโหยง ดึงสติกลับมาแล้วหันไปดู คาดไม่ถึงว่าจะเป็นฟางเซวียนที่พบกันเมื่อหลายวันก่อน

นางสวมเสื้อคลุมแขนสั้นสีชมพูลายดอกสายน้ำผึ้งตัวหนึ่ง ยิ้มให้นางพลางกล่าวว่า “เมื่อครู่ข้าคลับคล้ายว่าเห็นเจ้าจากไกลๆ พี่สาวเจียยังไม่เชื่อ เป็นเจ้าจริงด้วย! ช่างบังเอิญจริงๆ! จิงเฉิงใหญ่ขนาดนี้ คาดไม่ถึงว่าพวกเราจะพบกันโดยบังเอิญ เจ้าก็มาซื้อเครื่องประดับหรือ เครื่องประดับร้านนี้ไม่เลวทีเดียว! คนต่างถิ่นรู้จักแต่ร้านหย่งฝูเซิ่ง ความจริงเครื่องประดับของร้านไป๋เป่าไจนี้ขายได้ดีกว่าร้านหย่งฝูเซิ่งเลยด้วยซ้ำ คิดไม่ถึงว่าเจ้าก็รู้จักร้านแห่งนี้” ขณะที่นางกล่าวก็ชี้ไปที่ชั้นสอง แล้วกดเสียงลงกระซิบยิ้มๆ ว่า “พี่สาวเจียใกล้จะออกเรือนแล้ว ท่านแม่ของข้าได้รับไหว้วานมาจากมารดาของนาง ออกมาซื้อของจุกจิกเป็นเพื่อนนาง ข้าเลยตามมาด้วย” แล้วกล่าวอีกว่า “ท่านปู่ของข้ากับท่านปู่ของพี่สาวเจียเคยเป็นสหายร่วมราชสำนักกัน ท่านแม่ของข้ากับมารดาของพี่สาวเจียโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก จนกระทั่งต่างฝ่ายต่างออกเรือนไปถึงได้แยกจากกัน แต่ก็ยังติดต่อพบปะกันเสมอ”

มิน่าตระกูลฟางกับตระกูลหมิ่นถึงได้สนิทชิดเชื้อกันขนาดนี้!

โจวเสาจิ่นยิ้มน้อยๆ รู้สึกว่ามีสายตาคู่หนึ่งหยุดค้างบนตัวนางจากชั้นสอง

นางไม่อยากจะรู้ว่าผู้นั้นเป็นผู้ใด ยิ้มพลางทักทายปราศรัยกับฟางเซวี่ยนสองสามประโยคโดยไม่เงยหน้าขึ้นไปมอง “ข้าก็ได้ยินพี่สาวของข้าบอกมาเหมือนกันว่าร้านนี้ทำเครื่องประดับได้ดียิ่ง…”

หากรู้แต่แรกว่าจะพบกับฟางเซวี่ยนและหมิ่นเจียที่นี่ นางก็คงไปร้านหย่งฝูเจี้ยนแล้ว

ชาติที่แล้วนางไม่ติดนิสัยชอบเที่ยวเล่นข้างนอก แต่หลังจากเลี่ยวเฉิงฟางหลานชายกำเนิด นางเคยสอบถามทั่วทุกแห่งว่าสร้อยแม่กุญแจอายุยืนที่ใดทำได้ดี หลินซื่อเซิ่งเป็นคนท้องถิ่นจิงเฉิง จึงแนะนำร้านไป๋เป่าไจร้านนี้แก่นาง

ตอนนั้นนางก็คิดเหมือนกันว่าของจากร้านไป๋เป่าไจดียิ่งนัก

ของจากร้านหย่งฝูเซิ่งนั้นแม้ว่ามิได้ประณีตวิจิตรเท่าที่นี่ แต่มีน้ำหนักมาก

นางซื้อไปเพื่อตกเป็นรางวัลให้ผู้อื่น ย่อมต้องการของมีน้ำหนักมากกว่าถึงจะถูก

ฟางเซวียนเบิกตากว้างอย่างตกใจ พร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า “ต้าไหน่ไนเลี่ยวเพิ่งจะมาจิงเฉิงปีที่แล้วเองนี่นา!”

ความหมายของคำพูดดังกล่าวคือไฉนเพียงเวลาสั้นๆ โจวชูจิ่นถึงได้รู้จักแม้แต่ซอกเล็กซอกน้อยของจิงเฉิงหมดแล้วเล่า

โจวเสาจิ่นไม่ปรารถนาจะสนทนากับนาง จึงอ้างว่าใกล้จะสายแล้ว และแยกจากฟางเซวียน

ฟางเซวียนรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย

ไม่ว่าจะกล่าวอย่างไร พวกนางก็นับเป็นญาติที่เกี่ยวดองกัน ในเมื่อรู้ว่ามารดาของนางอยู่ชั้นบน ด้วยหลักและเหตุผลแล้วโจวเสาจิ่นก็ควรจะไปทำความเคารพสักหน่อยถึงจะถูก ทว่าโจวเสาจิ่นกลับออกไปโดยไม่ทักทายเลยสักคำ ไม่มีเจตนาจะนับพวกนางเป็นญาติเลยสักนิด

ฟางเซวียนก็เป็นเด็กสาวที่เติบโตมาในโถน้ำผึ้งอย่างประคบประหงมตามใจคนหนึ่งเหมือนกัน โจวเสาจิ่นเย็นชากับนาง นางเลยไม่ปรารถนาจะผูกมิตรกับโจวเสาจิ่นมากนัก หมุนกายกลับไปยังห้องส่วนตัวบนชั้นสอง

หมิ่นเจียเองก็รู้สึกตกใจเล็กน้อยกับความเสียมารยาทของโจวเสาจิ่น ย่นหัวคิ้วน้อยๆ ขณะกล่าวว่า “คุณหนูรองตระกูลโจวผู้นี้เป็นอะไรไปหรือ ต้าไหน่ไนตระกูลกู้พูดชมนางถึงเพียงนั้น แต่นางกลับทำตัวเสมือนไม่รู้จักมารยาททางสังคมอย่างไรอย่างนั้น…”

หรือว่ายังมีเหตุผลอื่นกันนะ!

นางยังจำความรู้สึกตะลึงพรึงเพริดนั้นยามที่ตนพบโจวเสาจิ่นเป็นครั้งแรก

ว่ากันว่านางกับพี่สาวของนางเติบโตมาในซอยจิ่วหรู ไม่รู้ว่าเคยพบเจอเฉิงเจียซ่านบ้างหรือไม่… หากว่านางเป็นเฉิงเจียซ่าน กลัวว่าคงลืม ‘น้องสาว’ คนนี้ไม่ลงเป็นแน่… อย่างไรก็ตาม ถ้าหากท่าทีของนางเสมือนไม่รู้จักมารยาทอันดีเฉกเช่นวันนี้ ก็เป็นที่เข้าใจได้!

แววตาของหมิ่นเจียวูบไหวเล็กน้อย

ทว่าฟางเซวียนมิได้คิดมากถึงเพียงนั้น นางกล่าวอย่างไม่เห็นด้วยว่า “บางทีนางคงจะเพิ่งมาถึงได้ไม่นาน ปกติไม่ได้สัมผัสกับโลกภายนอกมากนัก จึงขลาดกลัว ไม่คุ้นเคยกับการผูกสัมพันธ์กับพวกเรา… ช่างนางเถอะ ต่อไปถ้าพบกันอีกก็ทักทายตามมารยาทไปก็พอแล้ว!”

แต่หมิ่นเจียไม่ได้คิดง่ายๆ เท่ากับนาง กล่าวว่า “นางเติบโตในเรือนของฮูหยินผู้เฒ่ากัวเชียวนะ ถึงเจ้าไม่พบนางก็ไม่เป็นไร แต่ข้าไม่พบนางไม่ได้!”

ฟางเซวียนคิดว่าหมิ่นเจียคิดมากเกินไป จึงกล่าวว่า “ว่ากันว่านางก็ใกล้จะถึงวัยปักปิ่นแล้วเช่นกัน อีกสองปีก็ต้องแต่งงานแล้ว ต่อให้เติบโตในเรือนของฮูหยินผู้เฒ่ากัวแล้วอย่างไรหรือ”

นางเติบโตในเรือนของฮูหยินผู้เฒ่ากัว ก็หมายความว่าขอเพียงโจวเสาจิ่นต้องการ ก็กลับไปตระกูลเฉิงได้ ไปเยี่ยมเยียนฮูหยินผู้เฒ่ากัวได้นั่นเอง…

Verify captcha to read the content.VERIFYCAPTCHA_LABEL

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน