ขณะที่เฉิงฉือกำลังขบคิดเรื่องนี้อยู่ ฝานหลิวซื่อกลับรู้สึกโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง
ทันทีที่นายท่านสี่เข้าเรือนมาก็พุ่งเข้าไปยังห้องชั้นใน เสมือนว่านี่เป็นบ้านของเขา ไม่คาดคิดว่าซางมามากับคนอื่นๆ ดูเหมือนจะไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น แน่นอนว่า ซางมามาเป็นคนที่เคยรับใช้นายท่านสี่มาก่อน ต่อให้นายท่านสี่คิดเช่นไร นางจะกล้าขัดขวางได้อย่างไร ยังดีที่นางบังเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา นึกได้ว่าในห้องครัวต้มน้ำแกงถั่วเขียวเอาไว้… แม้ว่าสีหน้าตอนนี้ของโจวเสาจิ่นดูมีพิรุธเล็กน้อย แต่จะดีจะร้ายก็ยังนั่งอยู่เบื้องหน้านางอย่างปลอดภัยดี นี่ทำให้นางอดลอบรู้สึกยินดีไม่ได้ เอ่ยถามขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ว่า “นายท่านสี่กลับมาเมื่อใดเจ้าคะ วันนี้เป็นเทศกาลวันไหว้บ๊ะจ่าง สองวันนี้ฮูหยินกับคุณหนูรองของพวกข้าห่อบ๊ะจ่างไว้มากมาย ข้ายกเข้ามาสักสองสามลูกให้นายท่านสี่ลองชิมดูดีหรือไม่เจ้าคะ”
นางไม่วางใจให้โจวเสาจิ่นอยู่กับเฉิงฉือตามลำพัง
เฉิงฉือเป็นคนฉลาดเชาวน์ไว จะมองไม่ออกได้อย่างไรเล่า
โจวเสาจิ่นเป็นคนละเอียดอ่อนเสมอมา มีหรือจะไม่เข้าใจ
ทั้งสองคนคนหนึ่งพยักหน้าอย่างพอใจ ทว่าในใจกลับยิ้มขมขื่น ส่วนอีกคนเม้มปากกลั้นยิ้ม แต่ในใจกลับรู้สึกเบิกบานดั่งดอกไม้ผลิบาน
เฉิงฉือสบช่องระหว่างที่ฝานหลิวซื่อไปบอกให้สาวใช้เด็กยกบ๊ะจ่างเข้ามาเลิกคิ้วขึ้นพลางกระซิบถามโจวเสาจิ่นว่า “กล้าหัวเราะข้าหรือ ประเดี๋ยวรอดูข้าเอาคืนเจ้าอย่างไรก็แล้วกัน!”
โจวเสาจิ่นนึกถึงจูบเมื่อครู่ขึ้นมาอย่างอธิบายไม่ได้
ดวงหน้าของนางแดงก่ำขึ้นมาในทันใด
ฝานหลิวซื่อหมุนกายเข้ามา เห็นโจวเสาจิ่นมีท่าทางเช่นนั้นก็อดรู้สึกฉงนสนเท่ห์เล็กน้อยไม่ได้
นายท่านสี่ยังไม่ได้ทำอะไรหรือพูดอะไรเลย ทำไมจู่ๆ คุณหนูรองถึงมีท่าทางเช่นนั้นได้
นางส่ายศีรษะอย่างงุนงง
โจวเสาจิ่นไหนเลยจะกล้าเผยพิรุธ แต่พอคิดว่าบ๊ะจ่างนั้นทำจากข้าวเหนียว กินมากไปก็ไม่ค่อยดี อีกทั้งคิดว่าเฉิงฉือเร่งเดินทางทั้งวันทั้งคืนมาหลายวัน อาหารที่กินระหว่างทางจะต้องเป็นอาหารแห้งทั้งสิ้น ทว่าทันทีที่กลับมาคงไม่เหมาะสมนักหากกินอาหารเลี่ยนมากเกินไป ถึงฉุกคิดได้ว่าตนมัวแต่รู้สึกดีอกดีใจ จนไม่ได้แม้แต่จะถามไถ่เรื่องอาหารการกินของเฉิงฉือเลยสักคำ
สีหน้าของนางมีแฝงความละอายเพิ่มขึ้นเล็กน้อย เอ่ยถามขึ้นว่า “ท่านน้าฉือ ท่านกินอาหารเช้าแล้วหรือยัง อยากจะรีบกลับไปพักผ่อนหรือไม่เจ้าคะ”
ตอนฟ้าสางเฉิงฉือเพียงกินแป้งทอดครึ่งแผ่นและดื่มน้ำเล็กน้อยเท่านั้น
เขาอยากจะรีบกลับมาฉลองเทศกาลวันไหว้บ๊ะจ่างเป็นเพื่อนโจวเสาจิ่นให้ได้ ครั้นกลับมาถึงแล้วก็รีบล้างหน้าเปลี่ยนชุดแล้วมาหาโจวเสาจิ่น แม้แต่น้ำสักอึกหนึ่งก็ไม่สนใจดื่ม
โจวเสาจิ่นเห็นท่าทางของเขาแล้วก็รู้ว่าเขาคงกินแต่อาหารแห้งเล็กๆ น้อยๆระหว่างทางเท่านั้น ก็รีบลุกขึ้นไปชงชาจอกหนึ่งให้เฉิงฉือ กล่าวอย่างขัดเขินว่า “ท่านนั่งลงก่อนสักครู่ ดื่มรองท้องสักหน่อย ข้าจะไปดูในครัว ท่านมีของที่อยากกินเป็นพิเศษหรือไม่ ถ้าไม่มี ข้าก็จะเตรียมอาหารตามใจแล้วนะเจ้าคะ!”
เฉิงฉือไหนเลยจะยอมปล่อยให้นางยุ่งวุ่นวายด้วยเรื่องของตน รีบกล่าวว่า “ข้าไม่เลือกกินหรอก เจ้าให้ป้ารับใช้ไปดูว่ามีอะไรบนเตาบ้างแล้วยกเข้ามาก็พอ อากาศร้อนขนาดนี้ เจ้าจะออกไปข้างนอกทำไม นั่งลงดีๆ ประเดี๋ยวค่อยกินเป็นเพื่อนข้า”
โจวเสาจิ่นยังไม่วางใจสักเท่าใด ยืนกรานจะไปห้องครัวให้ได้
เฉิงฉือจึงส่งสายตาให้ฝานหลิวซื่อทีหนึ่ง สื่อให้นางไปดูที่ห้องครัว จากนั้นก็กล่าวกับโจวเสาจิ่นว่า “เจ้านั่งลงดีกว่า มีคนอยากจะมาโขกศีรษะให้เจ้า”
โจวเสาจิ่นประหลาดใจ เอ่ยถามว่า “ใครหรือเจ้าคะ”
นางรู้จักคนไม่มาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผู้ที่จะโขกศีรษะให้นางเลย
เฉิงฉือไม่บอกนาง ให้นางไปที่ห้องรับแขกพร้อมกับเขา
โจวเสาจิ่นนั่งลงหน้าเตียงเตาข้างหน้าต่างในห้องรับแขกกับเฉิงฉืออย่างสนใจใคร่รู้
ฝานหลิวซื่อจึงไปที่ห้องครัว
เฉิงฉือตะโกนขึ้นว่า “หลั่งเย่ว์”
ผ้าม่านถูกเลิกขึ้นมา หญิงสาวคนหนึ่งสวมเสื้อคลุมแขนสั้นสีเขียวเข้มทับเสื้อตัวในผ้าไหมหังโจวสีขาว มุ่นผมเป็นมวยสตรีที่ออกเรือนแล้วเดินเข้ามา
“คุณหนูรอง!” นางโขกศีรษะให้โจวเสาจิ่นอย่างนอบน้อม
ดวงหน้าเรียวยาว คิ้วใบหลิว รอยยิ้มอ่อนหวาน ท่วงท่าผึ่งผาย
“ปี้อวี้!” โจวเสาจิ่นทั้งประหลาดใจและดีใจ กระโดดลงจากเตียงเตาในทันที ไม่รอให้นางน้อมกายลงอีกครั้ง ก็จับนางไว้แล้วกล่าวอย่างตื่นเต้นว่า “เจ้า… เจ้ามาได้อย่างไร เจ้าสบายดีหรือไม่”
นางสำรวจมองปี้อวี้อย่างละเอียด
ในเมื่อแต่งงานแล้ว ก็ควรอยู่ที่บ้านสามีเลี้ยงดูบุตรถึงจะถูก เดินทางไกลนับพันหลี่เพื่อมาหานางเช่นนี้ หรือว่าสามีของนางจะไม่ดีกันนะ
แต่ดูท่าทางแล้วไม่เหมือนอย่างนั้นเลย!
ปี้อวี้ไม่เพียงมีดวงหน้าแดงระเรื่อ เมื่อเทียบกับตอนที่เป็นสาวใช้ใหญ่ในเรือนหานปี้ซานยังมีความสุขุมเยือกเย็นที่ตกตะกอนมาจากการกินดีอยู่ดีหลายส่วน
โจวเสาจิ่นยิ่งฉงนสงสัยเข้าไปใหญ่
ปี้อวี้ถือโอกาสลุกขึ้นมา ตวัดสายตามองเฉิงฉือ แล้วจึงตอบยิ้มๆ ว่า “ผู้ที่ข้าแต่งงานด้วยเป็นพ่อบ้านน้อยคนหนึ่งในเรือนชั้นนอกของตระกูลเฉิงเจ้าค่ะ นายท่านสี่เห็นว่าเขาซื่อสัตย์สุจริต การทำงานก็หนักแน่นมั่นคง ประจวบกับเรือนที่ประตูเฉาหยางในจิงเฉิงกำลังซ่อมแซมปรับปรุงใหม่และขาดคนพอดี นายท่านสี่จึงขอให้สามีของอ ข้ามาที่นี่ ตอนนี้เขาดูแลการจับจ่ายซื้อของใช้ประจำวันในเรือนที่ประตูเฉาหยาง ข้าเลยตามมาจิงเฉิงด้วย นายท่านสี่ให้ข้ารับผิดชอบดูแลงานในเรือนชั้นใน ต่อไปข้ากับสามีของข้าก็จะประจำอยู่ในเรือนใหญ่ประตูเฉาหยางเจ้าค่ะ”
ในบรรดาสาวใช้ใหญ่ของฮูหยินผู้เฒ่ากัว ความสัมพันธ์ระหว่างนางกับปี้อวี้ดีที่สุด รองลงมาก็คือเจินจู
โจวเสาจิ่นเห็นปี้อวี้ดูค่อนข้างดีใจที่ได้พบกับคนรู้จักเมื่ออยู่ต่างถิ่น
“เช่นนี้ก็ดีจริงๆ!” นางบอกให้สาวใช้เด็กยกเก้าอี้ตัวเล็กเข้ามาให้ปี้อวี้นั่งตัวหนึ่ง แล้วหันหน้าไปพูดกับปี้อวี้อีกว่า “ต่อไปเจ้าก็มาหาข้าบ่อยๆ ได้”
ปี้อวี้พยักหน้ายิ้มๆ กล่าวว่า “นายท่านสี่ก็บอกเช่นนี้เหมือนกันเจ้าค่ะ ดังนั้นวันนี้เลยตั้งใจพาบ่าวมาทักทายเป็นพิเศษ”
สาวใช้เด็กยกเก้าอี้ตัวเล็กมาวางข้างๆ โจวเสาจิ่น
โจวเสาจิ่นชี้ให้นางนั่งลงสนทนา

VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน