โจวเสาจิ่นฟังพี่สาวกับหลี่ซื่อพูดชมเฉิงฉือ ก็รู้สึกดีใจระคนเสียใจ
หากว่าพวกนางรู้เรื่องระหว่างนางกับเฉิงฉือละก็ จะต้องสาปแช่งก่นด่าเฉิงฉือแน่นอน ไหนเลยจะยังเอ่ยปากชมเขาได้
แต่ให้นางไปหาเฉิงฉือ…เช่นนั้นจะต่างอะไรกับการแอบนัดพบเล่า… แต่ก่อนตอนที่ทุกคนแสร้งทำเป็นสับสนมึนงงนางยังปิดหูขโมยกระดิ่งได้ ตอนนี้เรื่องราวถูกเปิดเผยออกมาแล้ว นางจะกล้าไปพบเฉิงฉือได้อย่างไร
โจวเสาจิ่นพลันเข้าใจถ้อยคำที่เฉิงฉือกล่าวว่า แสร้งทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น ประโยคนั้นขึ้นมาในทันใดว่าเป็นข้ออ้างข้อหนึ่งที่ใช้ได้ดีมากทีเดียว
หากรู้เช่นนี้แต่แรก นางก็ควรแสร้งทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ท่านน้าฉือเป็นคนที่ละเอียดลออคนหนึ่ง สถานที่ที่เขาอยู่มักจะมีชารสดี มีของกินเล่นแสนอร่อย หมอนอิงใบใหญ่มีความนุ่มนิ่มพอดี ดอกไม้ในแจกันกู[1] ก็เบ่งบานได้อย่างสวยงาม เมื่อเอนอิงหมอนอิงริมหน้าต่าง ขณะพูดคุยเรื่อยเปื่อยกับท่านน้าฉือไปด้วย และเล่นหมากล้อมที่วางหมากลงแล้วแต่ดึงกลับไปได้ทุกเมื่อกับเฉิงฉือไปด้วย ก็รู้สึกว่าไม่มีช่วงเวลาใดที่ดีกว่านี้เลย
โจวเสาจิ่นจึงอดทอดถอนใจไม่ได้
ตอนนี้มาเสียใจทีหลังก็สายเกินไปแล้วจริงๆ!
นางนึกถึงภาพขณะที่เฉิงฉือโอบกอดตน… ซ้ำยังจับมือของนางล้วงเข้าไปในเสื้อผ้าของเขา…
เจ้าคนเหลวไหลผู้นี้!
โจวเสาจิ่นสบถเย็นหลายคำ ดวงหน้าพลันแดงก่ำขึ้นมาในทันใด
เรือนร่างใต้อาภรณ์ตัวนั้นทั้งกำยำและล่ำสัน… แต่ท่านน้าฉือกลับดูสูงเพรียวและผึ่งผาย… ถ้าหากครั้งหน้าเขายังกล้าทำเช่นนี้กับตน นางก็จะ…ผลักเขาหรือไม่ก็หยิกเขาแรงๆ สักสองทีดีหรือไม่นะ
โจวเสาจิ่นตัดสินใจไม่ได้เล็กน้อย
นางกอดหมอนอิงใบใหญ่แล้วกลิ้งไปมาบนเตียง
ชุนหว่านยกถาดรองเข้ามาพอดี เมื่อเห็นแล้วก็อดเม้มปากกลั้นยิ้มไม่ได้ เอ่ยถามขึ้นว่า “คุณหนูรองเป็นอะไรไปหรือเจ้าคะ”
ดวงหน้าของโจวเสาจิ่นแดงเถือกยิ่งขึ้น
กระแอมไอครั้งหนึ่งเป็นการกลบเกลื่อน แล้วลุกขึ้นมาจัดอาภรณ์ให้เรียบร้อยพลางถามว่า “เจ้ายกอะไรมาหรือ”
“น้ำแกงถั่วเขียวเจ้าค่ะ” ชุนหว่านวางถ้วยคลือบสีขาวนวลบนโต๊ะตัวเล็กที่หัวเตียง กล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้าให้จี๋เสียงวางทิ้งไว้ให้เย็น ท่านรีบดื่มเถิด อากาศร้อนขึ้นเรื่อยๆ แล้ว แต่ก็ดีกว่าจินหลิงอยู่ดี จินหลิงร้อนตั้งแต่เช้ายันค่ำ ทว่ากลางคืนของจิงเฉิงกลับเย็นสบายยิ่งนักเจ้าค่ะ!”
“เช่นนั้นหากให้เจ้ารั้งอยู่ที่จิงเฉิง เจ้ายินยอมหรือไม่” โจวเสาจิ่นดื่มน้ำแกงถั่วเขียวแล้วสนทนากับชุนหว่าน
ชุนหว่านให้สาวใช้เด็กเข้ามาเก็บถาดรองกับถ้วยออกไป คลี่ยิ้มพลางตอบว่า “ข้าไปที่ใดก็ได้เจ้าค่ะ ขอเพียงติดตามคุณหนูรองไปก็พอ!”
โจวเสาจิ่นประหลาดใจเล็กน้อย
ตามความคิดของนาง ผู้คนส่วนใหญ่ไม่ยอมจากบ้านเกิดเท่าใดนัก
ชุนหว่านอธิบายยิ้มๆ ว่า “ตั้งแต่ข้าอายุห้าขวบก็ถูกส่งไปที่ซอยจิ่วหรูแล้ว ผู้ที่ไปมาหาสู่กันล้วนแล้วแต่เป็นพี่สาวน้องสาวเหล่านี้ หน้าตาของพ่อแม่พี่น้องล้วนจำไม่ค่อยได้แล้ว แม้ว่าในใจยังคิดคะนึงหา แต่ถ้าหากให้ข้ากลับไปอยู่กับพวกเขา ความจริงแล้วรอบตัวล้วนเป็นคนแปลกหน้าทั้งนั้น ข้าก็ไม่รู้ว่าจะคุ้นเคยกับชีวิตที่นั่นได้หรือไม่เจ้าค่ะ ในทางกลับกันหากอยู่ข้างกายคุณหนูรอง พูดคุยหัวเราะกันอย่างนี้ เพียงพริบตาเดียววันวันหนึ่งก็ผ่านไปแล้ว ข้าคุ้นชินกับชีวิตเช่นนี้มากกว่าเจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นเข้าใจนางได้เหมือนกัน
เช่นเดียวกับนางในชาติที่แล้ว ขอเพียงได้อยู่กับพี่สาว ถึงอยู่ที่ใดก็มีชีวิตเหมือนกันทั้งสิ้น
เพียงแต่นางคาดไม่ถึงว่าชุนหว่านจะมีความผูกพันลึกซึ้งต่อนางถึงเพียงนี้
โจวเสาจิ่นจึงคิดว่าตนยิ่งมิอาจทำลายความไว้วางใจที่ชุนหว่านมีให้แก่ตนได้เลย
ทว่าแต่ไหนแต่ไรนางไม่มีสายตามองคนสักเท่าใด…
วันรุ่งขึ้น นางเรียกปี้อวี้เข้ามาพูดคุย “อีกไม่กี่ปีชุนหว่านก็ต้องออกเรือนแล้ว หากว่าข้างกายเจ้ามีผู้ที่ทั้งหน้าตาและอุปนิสัยล้วนเหมาะสมกัน ก็ช่วยสอดส่องดูให้ชุนหว่านที”
ปี้อวี้ประหลาดใจ
ปกติสาวใช้ใหญ่เช่นนี้ล้วนแล้วแต่จะแต่งงานกับบ่าวที่ติดตามมาจากบ้านเดิมของตนเอง เช่นนี้จะได้มีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น รุ่งเรืองก็รุ่งเรืองด้วยกัน ล่มจมก็ล่มจมด้วยกัน เพิ่มทวีความจงรักภักดี
นางอยากจะย้ำเตือนโจวเสาจิ่นสักสองประโยค แต่เปลี่ยนใจเมื่อนึกถึงถ้อยคำที่เจินจูกล่าวกับนางยามที่มาถึง นางอดเงียบงันไปชั่วขณะไม่ได้ แล้วกล่าวยิ้มๆ ว่า “เรื่องนี้ข้าต้องกลับไปถามนายท่านสี่ก่อนเจ้าค่ะ ข้าดูแลเรือนชั้นใน สามีผู้นั้นของข้าก็เป็นเพียงพ่อบ้านเล็กๆ คนหนึ่ง สายตาถือว่ายังจำกัดนัก สาวใช้ใหญ่ข้างกายนายท่านสี่หลายคนเช่นหมิงเฮ่อล้วนแต่งงานออกเรือนอย่างดียิ่งยวด ไม่สู้ขอนายท่านสี่ช่วยดูให้ดีกว่านะเจ้าคะ”
โจวเสาจิ่นรู้สึกกระดากอาย เอ่ยถามว่า “เรื่องเช่นนี้ไม่ต้องไปหาท่านน้าฉือหรอกกระมัง” พูดจบก็ตรึกตรองอีกว่าถ้าหากเฉิงฉือช่วยดูให้สักหน่อย จะต้องคว้าผู้ที่ดีกว่าได้แน่นอน จึงสำทับว่า “อย่างน้อยก็รอให้มีความคืบหน้าก่อนค่อยพูดกับท่านน้าฉือเถอะ”
นางลืมไปแล้วว่าในชาติก่อนเพียงแค่ตนเลือกสาวใช้สำหรับทำงานหยาบคนหนึ่งก็ยังต้องให้พี่สาวช่วยตัดสินใจเลย
ทว่าในชีวิตนี้กลับกล้าช่วยชุนหว่านเลือกสามีเสียแล้ว
“เช่นนี้ก็ดีเจ้าค่ะ!” ปี้อวี้ตอบยิ้มๆ “นี่เป็นเรื่องใหญ่รีบร้อนไม่ได้เจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นแย้มรอยยิ้มพลางพยักหน้าหงึกๆ
จากนั้นปี้อวี้ก็เล่าถึงเรือนที่ประตูเฉาหยางของเฉิงฉือให้นางฟังว่า “…ส่วนตะวันออกบอกว่าจะเก็บไว้ให้ฮูหยินผู้เฒ่าอยู่เจ้าค่ะ ปลูกต้นการบูรเอาไว้หลายต้น พวกโถงรับรอง ห้องหนังสือของลานชั้นนอก ห้องรับแขก และสวนดอกไม้ล้วนอยู่ในบริเวณส่วนกลาง ส่วนตะวันตกเป็นที่พำนักของนายท่านสี่ ปลูกต้นไม้ดอกไม้ไว้มากมาย ยังมีสวนดอกไม้เล็กๆ สวนหนึ่ง ได้เชิญนายช่างมาสร้างเรือนเพาะชำหลังหนึ่งไว้ด้วย นายท่านสี่บอกว่า คุณหนูรองรอบรู้ด้านนี้เป็นอย่างยิ่ง ประเดี๋ยวอีกสักสองสามวันคงต้องเชิญคุณหนูรองไปดูสักหน่อย ช่วยชี้แนะบ่าวไพร่ที่ดูแลสวนดอกไม้ว่าควรปลูกต้นไม้ดอกไม้อะไรบ้างนะเจ้าคะ”
โจวเสาจิ่นมิได้เอื้อนเอ่ยคำใด ทว่านัยน์ตากลับฉายแววฉงนเล็กน้อย
ปี้อวี้กล่าวยิ้มๆ ว่า “นี่ท่านเป็นอะไรไปหรือเจ้าคะ” ในน้ำเสียงแฝงความระมัดระวังหลายส่วน
โจวเสาจิ่นเงียบงันไปชั่วขณะหนึ่ง แล้วจึงกระซิบถามว่า “ปี้อวี้ ที่จินหลิงเกิดเรื่องอะไรขึ้นใช่หรือไม่ ข้ารู้สึกว่าเจ้าปฏิบัติต่อข้า ดูเหมือนสนิทสนมน้อยกว่าเมื่อก่อนและพินอบพิเทามากขึ้น…”
ปี้อวี้รู้สึกละอาย
VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน